วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ออแพร์กับปัญหาสุขภาพ (ตอนที่ 1 ไม่สบายกาย)

Staying Happy & Healthy
         งานออแพร์ไม่ใช่งานง่ายๆ ด้วยชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน สูงสุด 10 ชั่วโมงต่อวัน รวม 45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ บางคนเลี้ยงเด็กหลายคน บางคนตารางงานไม่แน่นอนหรือต้องทำงานตอนกลางคืน รวมถึงสภาพอากาศ ความเป็นอยู่ อาหารการกินที่อเมริกาที่แตกต่างจากไทย ทำให้บางคนไม่สบาย แต่จะให้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลก็แพงสุดๆ ถึงแม้จะมีประกันสุขภาพแต่ก็แพงอยู่ดี และบางประกันต้องสำรองจ่ายไปก่อนแล้วค่อยไปเบิกคืนทีหลัง

https://www.youtube.com/channel/UCFJ8ue7tRlVCK6X4gcmSdJg

         สำหรับบทความนี้ ได้รวบรวมปัญหาสุขภาพเล็กๆ น้อยๆ ไม่รุนแรง ที่พบบ่อยในออแพร์ไทยมาให้ พร้อมวิธีดูแลสุขภาพเบื้องต้น (Relief/Remedy) โดยไม่ต้องไปพบแพทย์ และศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วย จะได้สามารถบอกอาการโฮสต์ หมอ หรือเภสัชที่ร้านขายยาได้

ปัญหาสุขภาพทางกายที่พบบ่อยในออแพร์ไทย ได้แก่


  1. ผิวแห้ง(Dry Skin) ผมร่วง(Hair loss) เลือดออกในจมูก(Nosebleeds) เพราะอากาศแห้ง
  2. ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold)
  3. ปวดท้อง (Stomachache) เช่น ท้องอืด ปวดมวนท้อง (Gas pain, Bloating), ปวดท้องแบบอาหารไม่ย่อย (indigestion), ท้องเสีย (Diarrhea), ท้องผูก (Constipation), ปวดประจำเดือน (Period cramp)
  4. ปัสสาวะแสบขัด (Dysuria)
  5. ปวดเมื่อย เช่น ปวดหลัง (Back pain) ปวดขา (Leg pain)

หากมีปัญหาสุขภาพเกิดขึ้น ควรทำอย่างไร?


  1. ดูแลตามอาการเบื้องต้น บอกให้โฮสต์รับรู้ไว้ และลองขอยาสามัญประจำบ้านของโฮสต์มาทานก่อน
  2. หากที่บ้านไม่มียา สามารถไปซื้อยาได้ที่ร้านขายยา และGrocery เช่น CVS, Walgreen, Walmart, Target เป็นต้น
  3. เช็คข้อมูลประกันสุขภาพของตัวเองว่าสามารถไปพบแพทย์ได้ไหนบ้าง ต้องสำรองเงินจ่ายก่อนหรือไม่ และเตรียมเอกสารไปให้ครบถ้วน
  4. การไปพบแพทย์ ส่วนใหญ่ตามรพ.จะมีล่ามแปลภาษาให้ทางโทรศัพท์ แต่ถ้าให้ดีควรรู้คำศัพท์เบื้องต้นเพื่อให้พูดคุยกับแพทย์ได้ ดังนี้ I have a/an...........อาการที่เป็น (ลักษณะอาการ ตำแหน่ง ความรุนแรง), ระยะเวลาที่เริ่มเป็น, เวลาที่รับประทานยาครั้งสุดท้าย, เคยแพ้ยาอะไรไหม, ถ้าเป็นปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพสตรีต้องบอกวันที่ประจำเดือนเริ่มมาครั้งสุดท้าย เป็นต้น 

ปัญหาสุขภาพทางกายที่พบบ่อยในออแพร์ไทย

1. ผิวแห้ง(Dry Skin) ผมร่วง(Hair loss) เลือดออกในจมูก(Nosebleeds) เพราะอากาศแห้ง
         เมืองไทยมีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ตัวเหนียว เหงื่อออกทั้งวัน พอมาอยู่อเมริกา ความชื้นในอากาศไม่สูงเท่าเมืองไทย แถมทุกบ้านใช้เครื่องปรับอากาศหมด หน้าหนาวอากาศหนาวมาก หรือต้องล้างมือทั้งวันจนมือแห้ง หลายๆ คนหนีไม่พ้นปัญหาผิวแห้ง
(Photo by Moose Photos from Pexels)

ามารถป้องกันและบรรเทาปัญหาผิวแห้งนี้ได้โดย
  • ไม่ต้องอาบน้ำบ่อย คนที่นี่อาบน้ำแค่วันละครั้ง ครั้งละ 5-10 นาทีพอ อย่าอาบน้ำนาน
  • ใช้สบู่อ่อนๆ เช่น Cetaphil, Oilatum-AD, Aquanil หรือสบู่ที่ผสมมอยส์เจอไรเซอร์ เช่น Dove, Olay, Basis 
  • สระผมโดยใช้แชมพูที่ช่วยลดผมร่วงและช่วยให้ผมแข็งแรง 
  • ถ้าเป็นไปได้พยายามอย่าอาบน้ำ/สระผมด้วยน้ำอุ่น อย่าเกา หรือขยี้ผมแรง (ให้ใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ)
  • ทาโลชั่น ครีม น้ำมันบำรุงผิว มอยส์เจอไรเซอร์ วาสลีน/ปิโตรเลียมเจลทาผิว 
  • ควรติดตั้งเครื่องพ่นละอองไอน้ำ (humudifier) ในบ้าน 
  • ใช้ไม้พันสำลีทาวาสลีน/ปิโตรเลียมเจลบางๆในรูจมูกก่อนนอน หรือพ่นsaline nasal product 
  • อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอ 
  • รับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มไขมันดีให้ผิวหนัง ได้แก่ ปลา salmon, mackerel, herring อะโวคาโด ถั่ววอลนัท เมล็ดทานตะวัน Sweet Potatoes Bell Peppersสีเหลืองหรือแดง บร็อคโคลี มะเขือเทศ ถั่วเหลือง Dark Chocolate ชาเขียว และไวน์แดง เป็นต้น
  • รับประทานอาหารที่ช่วยลดผมร่วงและช่วยให้ผมแข็งแรง ได้แก่ ถั่วต่างๆ หอยนางรม ผักขม Sweet potetoes เนื้อวัว ไข่ และปลาแซลมอล เป็นต้น
  • รับประทานวิตามินเสริม เช่น คอลลาเจน, Biotin, Iron, Zinc, วิตามินซี, Fish oil, น้ำมัน Evening primrose, หรือพวกวิตามินรวม Hair Skin & Nail Vitamin
  • สวมถุงมือเวลาล้างจาน ล้างขวดนม ใช้ครีมทามือ และสวมถุงมือในหน้าหนาว
  • สำหรับคนที่ผิวแห้งมากจนเป็นผื่น Eczema ให้ทาผื่นด้วยครีมสำหรับ Eczema หรือ Aquaphor
  • พยายามไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เช็ดผิว
2. ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold)
          โรคไข้หวัดติดต่อได้ง่าย เวลาเด็กที่เลี้ยงเป็น ออแพร์ก็ติดหวัดจากเด็ก พ่อแม่ก็ติดหวัดด้วย เป็นหวัดกันทั้งบ้าน 
(https://www.pexels.com/photo/short-red-hair-woman-blowing-her-nose-41284/)

          การดูแลเมื่อเป็นไข้หวัดธรรมดา เป็นการดูแลรักษาตามอาการ ส่วนใหญ่หายได้เองภายใน 1 สัปดาห์โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะเกิดจากเชื้อไวรัสธรรมดา
  • หากมีไข้ (fever) ให้รับประทานยาลดไข้ เช่น Paracetamol, Ibuprofen, Tylenol 
  • ร่วมกับการเช็ดตัวลดไข้ หรือใช้แผ่นลดไข้แปะหน้าผาก และดื่มน้ำเยอะๆ
  • หากคัดจมูก (sniffle nose) มีน้ำมูกไหล (running nose) ให้ทานยา Afrin, Alka seltzer plus, Sinal sprayพ่นจมูก หรือใช้น้ำเกลือNSS ล้างจมูกตอนเช้าหลังตื่นนอน ก่อนนอนให้ทา Vick ที่จมูกและหน้าอกก่อนนอน และเปิดเครื่องพ่นละออง humudifier
  • ถ้ามีอาการไอ (cough) เจ็บคอ (sore throat) ให้กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ, ดื่มน้ำอุ่น, น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง, ชาผสมน้ำผึ้ง หรือนมจืดใส่น้ำผึ้งอุ่นๆ อมยาอมแก้เจ็บคอ เช่น Cepacol อมลูกอมเย็นๆ หรือใช้ sore throat spray พ่นในลำคอ
  • ยาแก้หวัด เช่น Delsym, NyQuil (ยานี้ออกฤทธิ์ดีมาก แต่อาจทำให้ง่วงนอนเพราะต้องการให้พักผ่อนนอนหลับเยอะๆ ช่วยให้หายหวัดได้เร็ว)
  • พักผ่อนมากๆ
  • หากมีอาการคลื่นไส้ ให้รับประทานอาหารอ่อน อุ่นๆ เช่น ซุปไก่ ข้าวต้ม 
  • รับประทานวิตามินซี (อย่างน้อย 500 มิลลิกรัมทุกวัน) หรือผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ส้ม และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
  • หาก 3 วันแล้วไข้ยังไม่ลด หรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย เช่น น้ำมูก หรือเสมหะเป็นสีเหลือง เขียว คอแดง ต่อมน้ำเหลืองโต ควรไปพบแพทย์
         ส่วนไข้หวัดใหญ่จะมีอาการรุนแรงและอันตรายกว่าไข้หวัดธรรมดา (อาการเกิดขึ้นรวดเร็ว ฉับพลัน และอาการค่อนข้างรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา โดยลักษณะเด่นคือ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง อ่อนเพลียมาก ปวดเมื่อยตามร่างกาย เจ็บคอ คออักเสบ ไอ จาม อาจคัดจมูกและมีน้ำมูกได้บ้าง บางรายอาจคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์)) สามารถป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน Flu Shot ทุก 1 ปี

https://www.youtube.com/channel/UCPgbq18UvNpwmx2Y8dqWCLA

3. ปวดท้อง (Stomachache)
         เนื่องจากอาหารการกินที่นี่ต่างจากเมืองไทยมาก เพราะวันๆ กินแต่เนย นม ชีส ขนมปัง เมล็ดถั่วต่างๆ ทำให้มีอาการปวดท้อง ท้องอืดบ่อยมาก ส่วนอาการท้องเสียไม่ค่อยเป็นเพราะอาหารที่นี่สะอาด 
       
        การดูแลเมื่อมีอาการท้องอืด ปวดมวนท้อง (gas pain, bloating) อาหารไม่ย่อย (indigestion)
  • เรอ ผายลม หรือถ่ายอุจจาระออกมา
  • พยายามเคลื่อนไหวร่างกาย 
  • ดื่มชา เช่น anise, chamomile, ginger, peppermint
  • พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานพวก น้ำตาลเทียมเช่น aspartame, sorbitol, maltitol ผัก broccoli, cabbage, cauliflower น้ำลูกพรุน น้ำแอ้ปเปิ้ล ผลไม้แห้ง ผลิตภัณฑ์นม เนย เครื่องดื่มที่มีไฟเบอร์ น้ำตาล และโซดา อาหารทอด ไขมันสูง กระเทียม หัวหอม ถั่วต่างๆ และอาหารเผ็ด เป็นต้น
  • ทานยาขับลม (Antiflatulent) ได้แก่ Simethicone เช่นยี่ห้อ Gas-X, Mylanta Gas, Phazyme หรือ Antacid, Alka-Seltzer (คล้ายยาอีโน เป็นเม็ดผงฟู่ผสมน้ำเปล่าดื่ม)
         หากมีอาการท้องเสีย (Diarrhea)
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีเกลือแร่ผสม
  • รับประทานอาหารที่ทำให้ท้องผูก " BRAT diet." ได้แก่ Banana, Rice, Apple, Toast รวมถึง Sweet potato และ Peanut butter
  • รับประทานยาAnti-diarrhea หรือ Stomach relief เช่น Loperamide (Imodium), Bismuth subsalicylate (Kaopectate, Pepto-Bismol) 
  • หาก 2 วันแล้วอาการท้องเสียยังไม่ดีขึ้น หรือมีไข้ร่วมด้วย ถ่ายเป็นเลือดปน ปวดท้องมาก มีอาการขาดน้ำเช่น ริมฝีปากแห้ง ควรรีบไปพบแพทย์
         ถ้ามีอาการท้องผูก (Constipation)

  • การดูแลตรงข้ามกับอาการท้องเสียเลย คือให้รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักผลไม้ และธัญพืช โดยเฉพาะ Plum, Prune, Pear
  • รับประทานอาหารที่มี Probiotic เช่น โยเกิร์ต ผักดอง กิมจิ หรือรับประทาน probiotic supplement
  • หลีกเลี่ยง" BRAT diet." ซึ่งทำให้ท้องผูก ได้แก่ Banana, Rice, Apple, Toast รวมถึง Sweet potato และ Peanut butter
  • ดื่มน้ำมากๆ 
  • พยายามเคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกาย
  • รับประทานยาระบาย (Laxative) มีหลายประเภท ได้แก่
    - Bulk-forming fiber supplements ยาที่มีส่วนประกอบของไฟเบอร์ที่ช่วยให้อุจจาระรวมกันเป็นก้อนและนุ่ม เช่น Citrucel, FiberCon, และ Metamucil สามารถรับประทานได้ทุกวัน ควรดื่มน้ำมากๆ ร่วมด้วย มีผลข้างเคียงทำให้มีลมในกระเพาะอาหาร หรือผายลมบ่อย
    - Osmotic laxatives such ยาที่ช่วยให้น้ำลำเลียงไปยังระบบย่อยอาหารเพิ่มขึ้น ช่วยให้อุจจาระนิ่ม เช่น Lactulose, Miralax, Milk of Magnesia, และ Sorbitol
    - Stimulant laxatives เป็นยาถ่าย เช่น Dulcolax และ Senekot ออกฤทธิ์รวดเร็ว
    - Stool softeners เป็นยาที่ช่วยให้อุจจาระนิ่มสำหรับคนที่ท้องผูกตั้งแต่เด็ก เช่น Surfak
  • หาก 3 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดท้องมาก มีเลือดในอุจจาระ (blood in stool) น้ำหนักลด (weight loss) ควรไปพบแพทย์

         อาการปวดประจำเดือน (Period cramp)

  • วางถุงน้ำร้อน หรือ (hot pack) ห่อผ้าวางบนหน้าท้อง/ท้องน้อย
  • พักผ่อน
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล คาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์
  • รับประทานยาแก้ปวด เช่น ibuprofen (Advil), naproxen (Aleve), or acetaminophen (Tylenol)
  • หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • สังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดท้องมากๆ มีเลือดออกทางช่องคลอดหรือประจำเดือนผิดปกติ (สี/กลิ่น/ปริมาณผิดปกติ) มีไข้ เป็นต้น ควรรีบไปพบแพทย์
4. ปัสสาวะแสบขัด (Dysuria/ Painful urination)
         เป็นปัญหาที่ได้ยินจากเพื่อนออแพร์หลายคน เพราะว่าห้องน้ำออแพร์อยู่ข้างนอกห้องนอน วันหยุดก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ค่อยออกมาเข้าห้องน้ำ หรือว่าเลี้ยงเด็กยุ่งมากจนทำให้ต้องกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ ต่อมาก็มีอาการปัสสาวะแสบขัด อยากปัสสาวะแต่ก็ไม่ค่อยออก และเจ็บปวดทรมานมาก บางคนมีเลือดปนออกมาด้วย
(https://draxe.com/wp-content/uploads/2018/09/Dysuria_graphic.jpg)

         วิธีการป้องกัน และดูแลอาการเบื้องต้น
  • พยายามดื่มน้ำเยอะๆ 
  • อย่ากลั้นปัสสาวะ
  • ดื่มน้ำแคนเบอรี่ และน้ำผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
  • รับประทานอาหารที่มี Probiotic สูง เช่น โยเกิร์ต ผักดอง
  • สังเกตอาการ หากอาการไม่ดีขึ้น ปวดแสบขัดมากเวลาปัสสสาวะ ปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะมีเลือดปน ปัสสาวะสีผิดปกติ ขุ่น ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
5. ปวดเมื่อย เช่น ปวดหลัง (Back pain) ปวดขา (Leg pain)
         เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้บ่อยเนื่องจากการใช้ท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น อุ้มเด็ก ถือของหนัก ก้มหยิบของ หรือการอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานเกินไป หรือการออกกำลังกายแบบหักโหม สามารถป้องกันและบรรเทาอาการได้ง่ายๆ ดังนี้

pixabay.com

  • ใช้ท่าทางให้ถูก
  • เปลี่ยนท่าบ่อยๆ ไม่นั่งอยู่ในทางเดิมนานๆ 
  • พักการใช้งาน
  • ออกกำลังกาย ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เช่น โยคะ เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ
    👉 การออกกำลังกายเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยร่างกาย 
  • ไม่สะพายกระเป๋า หรือถือของหนัก ใช้รถเข็นช่วยแทน
  • ใช้ยาทาบรรเทาปวด (pain relief cream) เช่น Lidocain cream, Aspercream, Icyhot cream
  • รับประทานยาแก้ปวด เช่น Tylenol (acetaminophen), ibuprofen
  • แปะแผ่นกอเอี๊ยะ หรือแผ่นบรรเทาปวด (Pain relieving pad) เช่น Salonpas
  • ประคบอุ่นหรืออาบน้ำอุ่น นวดบรรเทาปวด
  • หากปวดขา ให้พักยกขาสูง โดยนั่งเอาขาพาดเก้าอี้ หรือหมอน หรือนอนเอาขาพาดผนัง


บทความที่เกี่ยวข้อง

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการช้อปปิ้งที่อเมริกา

(pixabay.com)

1. ร้านค้าต่างๆ แม้กระทั่งซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีเว็บไซต์ของตัวเองก็สามารถสั่งสินค้าออนไลน์ได้ บางครั้งได้ส่วนลด ถูกกว่าไปซื้อที่ร้านโดยตรง โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้มาส่งที่บ้าน (Shipping) + เสียค่าส่ง หรือจะไปรับของที่สาขาใกล้บ้าน (Pick up at store) ก็จะฟรีค่าส่งค่ะ

2. บางร้านค้า จะมีคูปองส่วนลดให้เราปริ้นท์จากเว็บไซต์ของร้านและนำไปใช้ที่ร้าน เวลาจ่ายเงินก็แสดงคูปองให้พนักงานดูค่ะ ช่วยประหยัดไปได้อีกนิดหน่อย
(https://hip2save.com/wp-content/uploads/2018/04/cvs-eb-reward-pop-arazzi-nail-polish1.jpg?resize=1200,630&strip=all)

3. ซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าบางแห่ง เช่น Safeway, CVS, Michales, Sephora สามารถสมัครสมาชิกฟรี เพื่อใช้ส่วนลดในการซื้อสินค้า หรือได้รับตัวอย่างสินค้าขนาดทดลองฟรี

4. เวลาไปซื้อของไม่ว่าจะซื้อจากร้านหรือซื้ออนไลน์ อย่าลืมว่าจะต้องจ่าย Sales Tax/VAT เพิ่มด้วยอีก 6-10% ของราคาสินค้า (อัตรา Sales Tax ขึ้นอยู่กับแต่ละเมือง แต่ละรัฐไม่เท่ากัน) 
(Sale Tax ของ Massachusetts คือ 6.5%)
5. หลังซื้อสินค้า ในใบเสร็จรับเงินจะมีลิ้งค์ให้เข้าไปตอบแบบสอบถาม หรือแบบสำรวจความคิดเห็นเรื่องบริการและสินค้า แล้วจะได้รับส่วนลด หรือ gift card (บางร้านจะได้รับทันทีหลังตอบแบบสอบถามเสร็จ แต่บางร้านจะเป็นลักษณะชิงรางวัล)

6. มี 5 รัฐที่Free Sale Tax ได้แก่ Alaska (สำหรับ resident เท่านั้น ถ้า non-resident อาจต้องจ่าย sale tax สูงสุดไม่เกิน 1.76%), DelawareMontana (ยกเว้นบางเมือง), New Hamshire และ Oregon
(https://www.thebalance.com/thmb/SYLXRGchu_D822uSJxWUSQAG8Q0=/400x0/states-without-a-sales-tax-3193305-final1-5b61ead946e0fb0025def3b3.png)

7. บางรัฐก็ยกเว้น Sale tax สำหรับเสื้อผ้า รองเท้า ได้แก่ Massachusetts, Minnesota, New Jersey, New York, Pennsylvania, Rhode Island และ Vermont
(https://1lz3sq2g71xv1ij3mj13d04u-wpengine.netdna-ssl.com/wp-content/uploads/2015/02/State-Clothing-Taxability-Map.png)

8. ทุกรัฐที่มี Sale tax จะมีวันปลอดภาษีประจำปี เรียกว่า Sale Tax Holiday 
          👉 2019 sales tax holidays

9. ที่อเมริกา ไม่ว่าจะซื้อของจากร้านค้าจริงหรือร้านค้าออนไลน์ หากไม่พอใจ สามารถนำสินค้ามาคืนหรือเปลี่ยนได้  (Return/Change different item) โดยเฉพาะเสื้อผ้า แต่ต้องไม่ตัดป้ายราคาออก และเก็บใบเสร็จไว้ ระยะเวลาในการคืนและเงื่อนไขอื่นๆ แล้วแต่ร้านค้า ส่วนใหญ่คืนได้ภายใน 30 วัน  
         เคยได้ยินมาว่าบางคนซื้อวิดีโอเกมมาเล่น เล่นเสร็จเอาไปคืนก็มี หรือซื้อนาฬิกามาใส่ไปงานสวยๆ เสร็จ วันรุ่งขึ้นเอาไปคืน เหตุการณ์แบบนี้มีจริง ๆ แต่ไม่แนะนำให้ทำตามนะคะ
         แต่ถ้าสั่งออนไลน์แบบไม่มี Free shipping เวลาคืนสินค้าอาจต้องจ่ายเงินค่าส่งพัสดุเอง เช่น ราคาสินค้า $50 + ค่าส่ง $20 ถ้าอยากคืนสินค้าต้องเสียค่าส่งกลับอีก $20 และได้คืนเฉพาะราคาสินค้า $50 (เท่ากับเสียไป $90 แต่ได้คืนแค่ $50)

10. ซื้อของผ่านแอพได้เงินคืน (Cash back) เช่น แอพ Ebate ได้cash back 2-40% บางครั้งมี double or triple cash back และยังสามารถใช้ร่วมกับ Amazon, Ebay, Walmart, Bestbuy, Sephora ฯลฯ ได้ด้วย โดยจะได้รับเงินคืนในรูปแบบของCheck ส่งมาที่บ้าน หรือโอนเข้า PayPal หรือเลือกรับเป็นคูปองเงินสดสำหรับซื้อสินค้าในร้านที่เข้าร่วมรายการ
(https://www.moneypeach.com/wp-content/uploads/2016/08/Ebates-560.jpg)

(https://static.ebates.com/images/home/carousel/carousel_howtoearn.jpg)


11. ร้านค้าบางร้าน เช่น CVS, Target, Walmart เวลาจ่ายเงินผ่านบัตร จะมีให้กดเลือก Cashback ด้วย ซึ่งเป็นคนละ Cashback กับการซื้อของออนไลน์นะคะ Cashback อันนี้เสมือนตู้ ATM ให้เรากดเงินสดได้จากแคชเชียร์หลังจากซื้อสินค้าเค้าแล้ว 
(https://milestomemories.boardingarea.com/wp-content/uploads/2015/05/IMG_20150505_061826-2.jpg)
ตัวอย่างเช่น ซื้อโลชั่นราคา $15 จ่ายผ่านบัตร แล้วกดเลือก Cashback $10 เราจะได้เงินสดมา $10 แต่เงินในบัญชีเราจะหายไป $25  ค่ะ

12. ที่อเมริกาจะมีวันที่สินค้าลดราคาใหญ่ๆ อยู่หลายวัน ได้แก่
    N-Narrater_AuPair
    • วันที่สินค้าลดราคากระหน่ำมโหฬารกว่า 50% เรียกว่า ฺBlack Friday ตรงกับวันศุกร์ที่สามของเดือน หรือวันศุกร์ถัดจากวัน Thanksgiving ซึ่งพอเลยเที่ยงคืนวัน Thanksgiving ไปปุ๊บ ร้านค้าก็จะเปิดให้คนเข้ามาช้อปปั๊บ ดังนั้นจึงจะเห็นผู้คนมากมายต่อแถวหรือตั้งแคมป์รออยู่หน้าร้านตั้งแต่คืนวัน Thanksgiving ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของเดือนพฤศจิกายน
    • ส่วนวันอื่นๆ ที่ลดเยอะแต่ไม่มีเท่า Black Friday ได้แก่ หลังจากคริสมาสต์, 
    • Cyber Monday ตรงกับวันจันทร์หลังThanksgiving จะลดราคาสินค้าสำหรับผู้ซื้อทางออนไลน์
    • Super Saturday คือวันเสาร์สุดท้ายก่อนวันคริสมาสต์ ร้านค้าจะขยายเวลาปิดร้านออกไป คล้ายๆ Midnight Sale, 
    • วันสุดสัปดาห์ก่อนวันอีสเตอร์ ลดราคาพวกลูกอม Church clothing ของเล่น, 
    • วันเสาร์ก่อน Super Bowl (Super Bowl คือการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี) จะลดราคาโทรทัศน์และอาหาร 
    • และทุกๆวันสุดสัปดาห์ก่อนวันเทศกาลใหญ่ๆ เช่น the Fourth of July เป็นต้น
    บทความที่เกี่ยวข้อง
    👉 แหล่ง Shopping ในอเมริกา
    👉 คำศัพท์ Shopping - Black Friday




    แหล่งอ้างอิง
    https://blog.taxjar.com/sales-tax-on-clothing/

    วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

    รีวิวชีวิตออแพร์ในอเมริกากับปาย TheFoo

    จริงๆ ถ้าค้นหาคำว่า "ออแพร์" ใน Youtube จะพบวิดีโอที่มีคนทำเกี่ยวกับออแพร์มากมาย แต่จะบอกว่าช่อง "TheFoo" ของปาย ออแแพร์ไทยในรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เป็นช่องที่มาแรงมากๆ ในช่วงนี้


    ด้วยความน่ารักสดใสของโฮสต์คิดส์แฝดชายสองคนบวกกับเสียงน่ารักๆของปาย และการตัดต่อวิดีโอที่น่าสนใจ ทำให้บางคลิปมียอดวิวสูงถึง 754,000 ครั้ง มีผู้ติดตาม 32,590 คน ถึงขนาดที่เวปไซต์เรื่องราวเด็กนอกติดต่อขอสัมภาษณ์ปายไปลงในเว็บด้วย


    เราไปทำความรู้จัก Youtuber สุดฮอตคนนี้กัน


    สวัสดีค่ะเราชื่อปาย ปิยรัชต์ เหมะธุลิน อายุ 27 ปี ตอนนี้เป็นออแพร์อยู่รัฐวอชิงตัน อเมริกาค่ะ เลี้ยงน้องแฝดชาย ตอนนี้น้องอายุ 21 เดือนแล้วค่ะ

    ก่อนที่จะร่วมโครงการออแพร์ ปายก็ทำยูทูปช่อง "พี่หนูปาย" เป็นงานอดิเรก เพื่อเล่านิทานสำหรับเด็กค่ะ ส่วนที่มาเริ่มทำช่อง "TheFoo" เพราะย้อนกลับไปเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ปายสนใจโครงการออแพร์มากๆ แต่ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเท่าไร จุดนี้เลยเป็นแรงบันดาลใจให้อยากแชร์ข้อมูล

    ที่ใช้ชื่อ TheFoo เพราะคำว่า ฟู มาจากลักษณะทรงผมของปายที่หยักศกและพอง เพื่อนๆเรียก ฟู ค่ะ


    ปายตั้งใจถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตออแพร์ การใช้ชีวิตในอเมริกา การทำอาหาร การท่องเที่ยว และหลายๆ สิ่งที่ประสบพบเจอมาในแต่ละวันให้คนที่สนใจได้ติดตามค่ะ

    วิดีโอแรกที่ทำคือ "วิธีไปทำงานและท่องเที่ยวอเมริกาได้ไม่ยาก กับโครงการ Au pair หรือพี่เลี้ยงเด็ก" เมื่อมิถุนายน 2560 ตอนนี้ทำมาได้ปีกว่าแล้ว มีวิดีโอที่อัพโหลดไปแล้ว 143 รายการ และยังคงจะอัพโหลดต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะจบโครงการออแพร์แล้ว


    ปายใส่ใจในการทำคลิปวิดีโอมาก คิดว่าทำไงจะให้คนดูจบ ถ้าจบแล้วจะดูคลิปอื่นอีกไหม ดูคลิปอื่นแล้วจะกดติดตามไหม เลยทำให้ช่อง TheFoo ของปายเป็นที่นิยมของใครหลายๆ คนโดยเฉพาะคนที่สนใจเกี่ยวกับโครงการออแพร์

    นอกจากนี้ปายยังมีFacebook fanpage ชื่อว่า "ออแพร์ไดอารี่" และ Instragram เป็นช่องทางเผยแพร่คลิปนอกเหนือจากYoutubeอีกทางหนึ่งค่ะ

    ตอนแรกปายตั้งใจจะทำแค่เพจเล็กๆ แต่ไม่คิดว่าจะได้รับความสนใจขนาดนี้ ทุกอย่างเกินความคาดหมายมากค่ะ ขอบคุณที่ติดตามเรื่องราวชีวิตของปาย และติดตามความน่ารักของเจ้าแฝด ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ให้ปาย จากนี้ไป เวลา 9 เดือนที่เหลือในอเมริกา(ก่อนจบโครงการออแพร์)ปายจะพยายามทำคลิปที่น่าสนใจให้ชมรวมถึงคลิปของเจ้าแฝดด้วยค่ะ

    ถ้าใครชอบก็อย่าลืมติดตามและเป็นกำลังใจให้สาวปายกันด้วยนะคะ
    TheFoo: https://www.youtube.com/channel/UCPgbq18UvNpwmx2Y8dqWCLA
    Facebook: https://www.facebook.com/Thefoo.aupairdiary/
    IG: https://www.instagram.com/thefoozapai/



    วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

    ออแพร์คืออะไร

    ออแพร์ (Au Pair) 
              คือ ผู้ช่วยงานที่เป็นชาวต่างชาติ และพักอาศัยร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ (Host Family) มีหน้าที่ในการเลี้ยงเด็กและทำงานบ้าน โดยได้รับเงินค่าแรงตอบแทน
              ออแพร์ (Au Pair) มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า "โอแปร์" (au pair) แปลตรงตัวว่า "เท่าเทียมกัน" ซึ่งหมายความว่า ออแพร์จะมีความเท่าเทียมกับบุคคลภายในบ้าน แตกต่างจากพนักงานรับใช้ ในขณะเดียวกันเจ้าของบ้านและออแพร์นั้นจะได้มีการเรียนรู้วัฒนธรรมซึ่งกันและกัน

    N-Narrater_Au Pair
    รูปสรุปออแพร์คืออะไร
              ออแพร์มีต้นกำเนิดมาจากประเทศยุโรป ช่วงหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาความนิยมออแพร์เป็นที่แพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และยุโรป มีลักษณะคล้ายกับ Live-in Nanny หรือพี่เลี้ยงเด็กที่พักอาศัยอยู่กับครอบครัวของเด็ก มีหน้าที่ดูแลเด็กๆ และช่วยเหลืองานบ้านที่เกี่ยวข้องกับเด็ก โดยได้รับเงินค่าจ้างตอบแทนเป็นรายสัปดาห์ในอัตราคงที่ ไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนของเด็ก

    หน้าที่ของออแพร์

    1. ดูแล เลี้ยงดูเด็ก ตั้งแต่ตื่นนอน ทำอาหาร ป้อนนม/อาหาร แต่งตัว เตรียมกระเป๋าและข้าวกล่อง ไปรับ-ส่งที่โรงเรียนหรือสถานที่ต่างๆ ส่งเสริมพัฒนาการ เล่นเป็นเพื่อนทั้งกิจกรรมในร่มและกลางแจ้ง ช่วยสอนการบ้าน อาบน้ำให้ จนกระทั่งพาเข้านอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตารางงานและหน้าที่ๆ ตกลงกับโฮสต์แฟมิลี่ไว้
    2. ทำงานบ้านเบาๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เช่น ซักเสื้อผ้าเด็ก ทำอาหารให้เด็ก ทำความสะอาดห้องนอนและห้องนั่งเล่นของเด็ก ทำความสะอาดขวดนมและจานชามช้อนส้อม หรือบริเวณที่เด็กทานอาหาร เก็บของเล่น จัดระเบียบของใช้และของเล่นเด็ก เป็นต้น

    ข้อดีของการเป็นออแพร์

    1. พักอาศัยอยู่กับโฮสต์แฟมิลี่ฟรี มีห้องนอนส่วนตัว มีอาหารให้รับประทานฟรี 
    2. มีการจำกัดชั่วโมงการทำงาน วันหยุด Vacation ที่แน่นอนตามกฏหมาย
    3. ได้รับค่าจ้างตามอัตราที่กฏหมายกำหนดทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือนตามกฏหมายแต่ละประเทศ
    4. ได้รับการสนับสนุนด้านการเรียน เช่น ออแพร์ในอเมริกาจะได้รับค่าเรียนจากโฮสต์ $500 สามารถเลือกลงเรียนอะไรก็ได้ตามความสนใจ เช่น ภาษาอังกฤษ ดนตรี ศิลปะ ฯลฯ โดยต้องเก็บหน่วยกิตให้ครบ 6 หน่วยกิต
    5. สัญญาการเป็นออแพร์ 1 ปี และสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นออแพร์ต่ออีก 6, 9, หรือ 12 เดือน
    6. ได้ท่องเที่ยวในต่างประเทศ ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ภาษา ได้พบเพื่อนต่างชาติ
    7. ได้พัฒนาตนเองในด้านต่างๆ รวมทั้งภาษา และได้รับประกาศนียบัตรการเข้าร่วมโครงการ สามารถนำประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศนี้ใส่ลงไปในประวัติย่อของตนเองเพื่อเพิ่มโอกาสในการสมัครงานได้มากขึ้น
    8. เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการเดินทางมาอาศัยอยู่ต่างประเทศด้วยวิธีอื่นๆ เช่น Work&Travel 
    9. หากเกิดปัญหาจะมีเอเจนซี่ ที่ปรึกษาท้องถิ่น และรัฐบาลช่วยเหลือ
    10. มีความปลอดภัยระดับหนึ่ง เพราะโฮสต์แฟมิลี่ได้รับการประเมินจากเอเจนซี่ และออแพร์ได้พูดคุย สัมภาษณ์กับโฮสต์แฟมิลี่ก่อนมา

    ทำไมโฮสต์แฟมิลี่ถึงอยากได้ออแพร์ ?

    1. ค่าจ้างถูกมาก เมื่อเทียบกับการจ้างพี่เลี้ยงเด็กทั่วไป (Nanny หรือ Baby sitter)
    2. ตารางการทำงานของออแพร์มีความยืดหยุ่นมากกว่า โฮสต์สามารถกำหนดตารางานและหน้าที่รับผิดชอบได้เอง
    3. ออแพร์ช่วยเลี้ยงลูก เป็นเพื่อนเล่น เป็นผู้ปกครอง เป็นครูสอนการบ้าน และช่วยทำงานบ้าน
    4. ค่าจ้างเท่าเดิม แม้ว่าจำนวนเด็กจะมากเท่าไรก็ตาม
    5. ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ภาษา 
    6. ได้สมาชิกใหม่ในครอบครัวเพิ่มขึ้น ลูกๆ จะได้พี่ชาย/พี่สาว หรือเพื่อนเล่นเพิ่มขึ้น
    7. สามารถไว้ใจได้ เพราะผ่านการตรวจสอบจากAgency ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน มีการอบรมความรู้พื้นฐาน และเป็นโครงการที่รัฐบาลรับรอง
    8. สามารถลดหย่อนภาษีจากการจ้างออแพร์ได้

    ข้อแตกต่างระหว่าง Au Pair - Nanny - Baby sitter

    • Au Pair เป็นชาวต่างชาติที่มาพักอาศัยกับครอบครัวอุปถัมภ์ เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม มีหน้าที่ดูแลเด็กและทำงานบ้านที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ได้รับค่าตอบแทนน้อย และต้องเรียนหนังสือ
    • Nanny มีทั้งแบบที่พักอาศัยอยู่กับครอบครัวนายจ้าง เรียกว่า Live-in Nanny หรือ แบบไปเช้า-เย็นกลับ เรียกว่า Live-out Nanny คือพี่เลี้ยงเด็ก มีหน้าที่ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเด็ก บางคนอาจเป็นทั้งพี่เลี้ยงเด็กและแม่บ้านทำความสะอาดบ้านด้วยก็ได้ ได้รายได้สูง ต้องมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กพอสมควร
    • Babysitter คือพี่เลี้ยงเด็กที่รับจ้างดูแลเด็กเป็นชั่วโมงสั้นๆ เช่น วันละ 1-3 ชั่วโมงตอนที่เด็กหลับ หรือคอยเฝ้าดูตอนเด็กเล่น ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับครอบครัวนายจ้าง ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอายุน้อยที่ทำเป็นงานพิเศษเสริมรายได้
    • Manny = Male nanny
    • BroPair = Male Au Pair



    วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

    รัฐฟลอริด้า (Florida: FL)


    ประสบการณ์เป็นออแพร์ใน Florida

    (รูปจาก https://en.wikipedia.org)

              รัฐฟลอริด้า (Florida: FL) เป็นรัฐที่อยู่ใต้สุดของสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่  เป็นรัฐที่มีประชากรมากและหนาแน่นรัฐหนึ่งของสหรัฐอเมริกา คำว่า “ฟลอริดา” เป็นภาษาสเปน หมายถึง “ที่ซึ่งอุดมไปด้วยดอกไม้” มีอาณาเขตติดกับรัฐ Alabama, Georgia, มหาสมุทร Atlantic และอ่าวเม็กซิโก มีเมืองหลวงชื่อว่า Tallahassee ส่วนเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาก็อยู่ที่รัฐนี้นี่เอง ชื่อว่าเมือง Jacksonville และมีเมืองใหญ่ชื่อดังอย่าง Miami เป็นจุดหมายปลายทางที่นิยมของนักท่องเที่ยว

     “มลรัฐแห่งตะวัน”
    (https://blog1.fkimg.com/wp-content/uploads/2015/03/florida-best-beaches-610x350.jpg)

              รัฐฟลอริด้า ได้ฉายาว่า “มลรัฐแห่งตะวัน” (Sunshine State) มีลักษณะเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล มีแสงแดดอบอุ่นตลอดทั้งปี และมีฝนตกมาก รัฐนี้ปลูกส้มเยอะ เลยใช้ส้มเป็นผลไม้ประจำรัฐ   

              ฟลอริด้าเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ประมาณประเทศไทย แล้วก็มีสภาพอากาศคล้ายไทยด้วย ตอนบนๆ จะเย็นกว่าตอนล่าง แถมยังมีเกาะKey West เป็นเกาะที่อยู่ทางใต้สุดของฟลอริดา
              สภาพอากาศโดยทั่วไปจะร้อน ร้อนมาก และร้อนมากๆ สูงถึง 40 องศาปลายๆ เลย แล้วก็มีฝนตกบ่อย ไม่ได้มี 4 ฤดูเหมือนรัฐอื่นๆ ของอเมริกา และรู้สึกแดดร้อนกว่าไทย เหมือนดวงอาทิตย์อยู่ใกล้โลกกว่า แต่อากาศจะแห้ง ไม่ค่อยเหนียวตัวเหมือนอยู่ไทย หน้าฤดูใบไม้ร่วงก็จะร่วงบ้าง แต่ไม่ได้มีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชื่นชมเหมือนบางรัฐ จะมีบ้างแค่ในเมือง Talahasse ช่วงหน้าหนาวอากาศจะเย็นลงแต่ไม่มีหิมะ ฟลอริด้าตอนบนในหน้าหนาวอาจติดลบ 1-3 องศาช่วงกลางคืน ตื่นเช้ามาเห็นแม่คะนิ้งเกาะตามใบหญ้าก็มี แต่ทางใต้จะร้อนสุดๆ

    "ประสบการณ์เฮอริเคน"
    (https://s.abcnews.com/images/US/hurricane-irma-main-01-as-170909_16x9_992.jpg)

              เพราะเป็นรัฐที่ทะเลล้อมรอบ ภัยธรรมชาติที่หนีไม่พ้นคือ พายุเฮอริเคน จะมีช่วงฤดูเฮอริเคน เจอทุกปี ปีนึงก็หลายลูก หนักบ้าง เบาบ้าง แต่ไม่ต้องกลัวเพราะว่าฟลอริด้าเจอเฮอริเคนบ่อยเค้าจึงมีระบบรับมือที่ดี
              ปีที่แล้วก็เจอหนักๆ เลยคือ เฮอริเคน Irma ซึ่งมีความเร็วลมสูงสุดและมีรุนแรงระดับรุนแรงที่สุด (ระดับ 5)  ทุกบ้านต้องซื้อเสบียงอาหาร น้ำดื่มมาตุน ไฟฉาย เทียนไข แก๊สหุงต้ม แล้วก็ซื้อWindow shutter หรือไม้อัดมาปิดหน้าต่างกันประจกแตก จำได้เลยว่าติดตามข่าวทุกวัน ทุกคืน ฝนจะมาก่อนแบบมืดฟ้ามัวดิน ฟ้าผ่าดังเปรี้่ยงจนลูกร้องไห้จ้า มือถือก็มีแจ้งเตือน Alert ให้อพยพตลอด ถนนรถติดยาวเหยียด ปั๊มน้ำมันคนแห่กันไปเติมน้ำมันตุนไว้ รถสาธารณะหยุดวิ่ง เครื่องบินบินไม่ได้ บางคนที่บ้านไม่แข็งแรงหรืออยู่ในพื้นที่สีแดงต้องอพยพหนีไปรัฐอื่น หรือไปอยู่ที่ที่หลบภัย (Shelter) แล้วพอพายุผ่านไป เหตุการณ์สงบลง เช้าตื่นมาคือน้ำท่วมรอบบ้าน ต้นไม้ใหญ้ล้มระเนระนาดเหมือนในหนังเลย ไฟดับ ต้องอยู่แบบมืดๆ ร้อนๆ แต่โชคดีที่บ้านเราเป็นหมู่บ้านใหม่ สายไฟอยู่ใต้ดิน ไฟดับแค่หนึ่งวัน แต่ทางฟลอริด้าตอนใต้ไฟดับเป็นอาทิตย์เลย
              อีกอย่างที่เจอบ่อยๆ คืองูเข้าบ้าน แล้วก็จระเข้ (Alligator)ในสวนสาธารณะเยอะมาก ต้องระวังอย่าไปเล่นน้ำสุ่มสี่สุ่มห้าจะโดนกัดเอา แล้วยุงที่ฟลอริด้าก็ตัวใหญ่มาก ตัวเท่าแมงมุมเลย

    "ไม่มีรถขับ เหมือนไม่มีขา"
    (https://c1.staticflickr.com/1/769/33046740925_f3873bfc2b_b.jpg)

              ระบบขนส่งสาธารณะของฟลอริด้าไม่ดีเลย เข้าขั้นแย่ รถบัส รถไฟแทบไม่มี จะมาทีรอเป็นชั่วโมงและวิ่งไม่ทั่วเมือง คนส่วนใหญ่จะขับรถกัน เพราะที่นี่ แต่ละอย่างอยู่ไกลมาก อารมณ์เหมือนอยู่ต่างจังหวัด ชานเมือง คนที่นี่เขาไม่ออกมาเดินกันด้วยนะ เพราะเดินไปก็ไม่เจออะไร ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านคน ไม่เหมือนในเมืองอย่าง New York, San Francisco, Boston  แล้วก็จะขี่จักรยานกันแค่ที่ใกล้ๆ ทะเล ขี่ไปบีชกัน เป็นต้น
              การขับรถที่นี่ไม่ยาก ไม่ต้องขับบนหิมะ แล้วขับง่ายกว่ากรุงเทพฯแน่นอน โดยเฉพาะชานเมือง จะมีปัญหาแค่แสงแดดที่จ้ามากๆ แล้วก็เวลาฝนตกหนัก แต่ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรง คนที่นี่ใจดี ไม่ค่อยบีบแตรกันพร่ำเพรื่อเหมืองบางรัฐ เราเห็นเขาหยุดรถให้เป็ดข้ามถนนกันด้วย แต่ทางตอนใต้เช่น Miami คนจะขับรถเร็วกันมาก
    👉สอบใบขับขี่ฟลอริด้า part 1 (drug and alcohol course)
    👉สอบใบขับขี่ฟลอริด้า part 2 (สอบข้อเขียน) 
    👉สอบใบขับขี่ฟลอริด้า part 3 (road test)
              ใครที่คิดจะมาอยู่ฟลอริด้าต้องขับรถได้ และควรเลือกโฮสที่มีรถให้ออแพร์ใช้ส่วนตัว ไม่งั้นจะลำบากมากๆ เพราะที่นี่มีUber/Lyftบริการ แต่ราคาแพง และไม่มีแบบ Uber Pool / Lyft share ด้วย และเนื่องด้วยระยะทางระหว่างแต่ละที่ไกล เวลาเรานั่งทีเราก็จ่ายที $25-30 เลย (เคยจ่ายค่าUberอาทิตย์ละ $150)

              ด้วยความที่ฟลอริด้าเป็นรัฐใหญ่ อะไรๆ ก็จะยิ่งใหญ่หมด รัฐนี้มีสนามบิน 7 แห่ง ได้แก่ Miami International Airport (MIA), Orlando International Airport (MCO), Fort Lauderdale–Hollywood Int'l Airport (FLL), Tampa International Airport (TPA), Southwest Florida International Airport (RSW), Palm Beach International Airport (PBI), และ Jacksonville International Airport (JAX)

    "ชุมชนคนเกษียณ"
    (https://i.ytimg.com/vi/6p6KCxzODEc/maxresdefault.jpg)

              ฟลอริด้าเป็นรัฐที่ประชากรส่วนใหญ่คือคนที่ย้ายมาจากรัฐอื่นหลังเกษียณ หรือเป็นครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆ เราเรียกคนฟลอริด้าว่า Floridian หรือ Floridan ทางตอนบนจะมีคนขาวอยู่เยอะกว่า ตอนล่างจะมีคนผิวดำและพวกละตินอเมริกา (Latino) เยอะมาก แต่ไม่น่ากลัวนะ บางคนดีมาก แต่คนไม่ดีก็เยอะโดยเฉพาะที่ไมอามี่ ที่รัฐนี้คนพูดภาษาสเปนกันโดยทั่วไป บางที่ไม่พูดภาษาอังกฤษกันเลย

              รัฐนี้มีออแพร์ไทยและต่างชาติไม่เยอะ รอบที่เรามาเทรนนิ่งสคูลมามีแค่เรากับเพื่อนต่างชาติอีก 1 คนที่มาอยู่ฟลอริด้า ส่วนที่เมืองJacksonville รวมถึงเมืองเล็กๆริมทะเลรอบๆ ที่เราอยู่มีแค่เราคนเดียวที่เป็นออแพร์ไทย ดังนั้นเวลาจะมีทติ้งออแพร์ที LCC จะรวมออแพร์จากเมืองเล็กๆ หลายเมืองๆ และจาก 2-3 LCC มามีทติ้งที่เดียวกันใน Downtown เราต้องขับรถอย่างต่ำ 30 นาทีทุกครั้ง ส่วนเพื่อนเราขับประมาณ 45 นาทีเพื่อมามีทติ้ง

              ส่วนคนไทยที่ไม่ใช่ออแพร์ในฟลอริด้ามีเยอะมากๆ โดยเฉพาะ West Palm Beach คนกัมพูชาก็เยอะมากเช่นกัน ดังนั้นจะหาร้านอาหารไทยและ Asian Market ได้ง่าย (แต่ไม่บอกว่าใกล้บ้านนะ เพราะที่นี่ทุกอย่างอยู่ไกล) และมีของเยอะมาก หาวัตถุดิบที่ต้องการได้ทุกอย่างเลย มีวัดไทยเยอะมากๆด้วย ได้แก่ Wat Mongkolratanaram (Tampa และ Walton Beach), Wat Florida Dhammaram (Kissimmee), Wat Buddharangsi (Miami),  Wat Florida Buddharam (Navarre), Wat Buddhasaengdham (Panama City) ส่วนใหญ่จะจัดงานวันอาทิตย์ แล้วก็มีตลาดนัดคนไทย มีพืชผักผลไม้ อาหารไทยมาขาย

              กรุ้ปเฟสบุ๊คคนไทยในฟลอริด้าเป็นกรุ้ปที่ดีมากๆ มากที่สุดเลยก็ว่าได้ จากประสบการณ์ส่วนตัว และจากที่คนที่อยู่รัฐอื่นบอกมา เพราะเค้าจะช่วยเหลือกันมาก (ถ้าไปดูกรุ้ปคนไทยในรัฐอื่นๆ จะรู้สึกโพสต์อะไรไปไม่ค่อยมีใครมาตอบ แต่กรุ้ปนีี้จะแอคทิฟตลอดเวลา โพสต์ขอคำแนะนำหรือความช่วยเหลืออะไรจะมีคนมาตอบตลอด) เราเคยรู้จักคุณป้าคนหนึ่งจากกรุ้ปนี้ แต่อยู่ต่างเมือง คุณป้าอุตส่าห์ขับรถมารับเราไปเที่ยวเพราะตอนนั้นเรายังขับรถไม่ได้ แล้วกรุ้ปนี้ชอบแจกเมล็ดพันธุ์ ผักผลไม้ให้กัน ตอนเฮอริเคนเข้าก็มีการโพสต์รับคนมาพักหลบภัยเฮอริเคนที่บ้านฟรี หรือมีอะไรก็จะโพสต์แบ่งบันกันตลอด ใจดีมากๆ

    "ค่าเรียนถูก"
    (http://floridapolitics.com/wp-content/uploads/2017/11/USF_entrance.jpg)
           
              การหาที่เรียนสำหรับออแพร์ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก เพราะมีโรงเรียนที่เรียนได้อยู่ไม่กี่ที่ (บอกแล้วว่าที่นี่แต่ละอย่างไกลกัน) แต่ค่าเรียนถูกมากๆ เมื่อเทียบกับรัฐอื่น เราเรียน ESL ที่ Community College แค่เทอมละ $30 เอง แต่ด้วยเพราะทุกอย่างในฟลอริด้าอยู่ไกลกัน และระบบขนส่งสาธารณะไม่ดี ก็จะลำบากเรื่องเดินทางไปเรียน ต้องขับรถอย่างเดียว แต่ก็มีAu Pair Weekend Class ที่เมือง Tampa 4 วัน 6 เครดิต ครบจบเลย

    "Where dreams come true"

              ถ้าพูดถึงฟลอริด้านอกจากทะเลสวยๆ แล้ว จะต้องนึกถึงเมือง Orlando ที่มี Disney World ที่ใหญ่ที่สุดในโลก, Universal Studio, Sea World ที่ใหญ่มากๆ  ถ้าได้ไปแล้วจะรู้สึกว่า Aquarium ไหนๆ ก็เทียบไม่ติดเลยสักนิด, รวมถึงสวนน้ำต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

              ถ้าขับรถออกไปหน่อย ที่เกาะ Merritt Island จะมีพิพิธภัณฑ์แลสถานียานอวกาศ Kenedy Space Center ที่จะแสดงยานอวกาศของจริง ถ้าไปถูกจังหวะก็จะได้เห็นตอนเขากำลังปล่อยยานอวกาศสู่ท้องฟ้า และสามารถพบเจอ กินข้าวกลางวันพร้อมพูดคุยกับนักบินตัวเป็นๆ ได้ด้วย

              St. Augustine เมืองเล็กๆ น่ารักอีกเมืองที่อยู่ไม่ไกลออรันโด้ เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา เพราะเป็นเมืองแรกๆ ที่ชาวยุโรปอพยพมาตั้งถิ่นฐานและเปลี่ยนคนพื้นเมืองให้กลายเป็นคริสเตียน

              อีกที่หนึ่งที่คนที่มาฟลอริด้าต้องมาแน่ๆ คือ เมือง Miami ที่มีออกแนวปาร์ตี้ เสียงเพลง และขับลงไปใต้สุดจะเป็นเกาะที่สวยงามชื่อว่า Key West 

    "แสงแดด หาดทราย สายลม และนกสีชมพู"         
    (https://www.miamiherald.com/news/local/environment/ufj29o/picture201275309/alternates/FREE_1140/115FLFlamingo23%20NEW%20PPP) 

              สัญลักษ์ของฟลอริด้าก็คือนกฟลามิงโก้สีชมพูสด พะยูน Manatee และต้นปาล์มที่มีราคาแพงมาก แล้วก็ชายหาดสวยๆ เยอะมาก ทั้งทางฝั่งมหาสมุทร Atlantic และอ่าวเม็กซิโก มีคนบอกว่าทะเลฟลอริด้าสวยกว่าที่แคลิฟอร์เนีย แล้วหาดทรายก็ขาวสะอาดกว่าด้วย ถ้าใครชอบทะเลและกิจกรรมทางน้ำ ที่นี่น่าจะตอบโจทย์ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำเฉยๆ เจ็ตสกี ล่องเรือ ตกปลา แต่Surfing จะไม่ค่อยมีคลื่นให้เล่นเท่าไร ต้องไปฝั่งแคลิฟอร์เนีย และสำหรับคนที่ชอบเดินป่าขึ้นเขา ที่นี่มีแต่ Walking Trail ไม่มี Hiking Trail เลย



              นอกจากนี้ฟลอริด้ายังดังเรื่องกีฬากอล์ฟมากๆ เคยมีรายการ PGA Tour มาแข่งที่หมู่บ้านด้วย ประธานาธิบดีโรนัลด์ ทรัมป์ก็มีบ้านพักตากอากาศและสนามกอล์ฟส่วนตัวที่ใหญ่โตมโหฬารจากหัวมุมถนนฝั่งหนึ่งจนสุดหัวมุมถนนฝั่งหนึ่งอยู่ที่ฟลอริด้าด้วย ไปนั่งรถดูรอบๆ ได้ แต่เข้าไปไม่ได้นะ

    "คิดว่ารัฐนี้เป็นรัฐที่ดีในการเริ่มต้นการเป็นออแพร์เลย"
    (https://i.ytimg.com/vi/6p6KCxzODEc/maxresdefault.jpg)

              เพราะผู้คนที่นี่ใจดี เป็นมิตร ทักทายก่อนตลอด ถ้าเดินไปตามท้องถนนจะมีคน Say Hi เราตลอด ค่อนข้างใจกว้าง เปิดใจให้กับคนต่างชาติต่างถิ่น ตอนมาใหม่ๆ เราฟังพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย เลยบอกคนขับอูเบอไปว่า Sorry, my English isn't good. แล้วคนขับก็ตอบมาว่า That's OK, my Thai isn't good too. เลยทำให้ไม่เกร็งเวลาพูดภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆ เราคิดว่ารัฐนี้เป็นรัฐที่ดีสำหรับออแพร์ไทยที่ภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้อย่างเรา ส่วนสภาพอากาศก็คล้ายๆ ที่ไทย หาอาหารและวัตถุดิบไทยได้ง่าย เวลาคิดถึงเมืองไทยก็หาอาหารไทยกินได้ไม่ยาก  แล้วก็เป็นรัฐที่เหมาะสำหรับฝึกภาษาสเปน เพราะคนพูดสเปนเยอะมาก ค่าครองชีพก็ไม่แพง Sale Tax $7 และเป็น 1 ใน 7 ที่ไม่ต้องเสีย State Tax ด้วย อีกอย่างที่ชอบคือสถานที่ท่องเที่ยวที่นี่จะใหญ่อลังการดี เช่น Disney World, Sea World แต่สถานที่ท่องเที่ยวนอกจากที่บอกไปก็ไม่ค่อยมีเท่าไร นอกนั้นคือมีแต่ทะเลๆๆๆๆๆ เอะอะก็ชวนกันไปทะเลกับPool Party ถึงแม้ว่าจะสวยแค่ไหน แต่เรารู้สึกเบื่อ ดังนั้นเราเลยอยู่แค่ปีเดียวพอ ถ้าใครชอบทะเล สายลม แสงแดด life guardงานดี ก็ฝากรัฐนี้ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก แต่ต้องมีรถขับนะ ไม่งั้นชีวิตลำบากจริงๆ อยู่ๆรัฐนี้นานๆ ไปจะได้ผิวสีแทนกับผมสีน้ำตาลเป็นของที่ระลึกจากฟลอริด้า




    แหล่งอ้างอิง https://en.wikipedia.org/wiki/Florida


    วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

    รัฐจอร์เจีย Georgia (GA)

    สัมภาษณ์ออแพร์ที่อยู่ Atlanta, GA

    ก่อนอื่นต้องบอกว่านี่คือรัฐจอร์เจียในอเมริกา ไม่ใช่ประเทศจอร์เจีย อย่าสับสน 5555


    (รูปภาพจาก https://th.wikipedia.org/wiki/รัฐจอร์เจีย)

              รัฐจอร์เจีย (Georgia: GA) เป็นรัฐตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา เป็น 1 ใน 13 รัฐที่ต่อต้านการปกครองของอังกฤษในสมัยปฏิวัติอเมริกา (The original tirteen colonies) ในปีค.ศ. 1733 มีพรมแดนติดกับรัฐ Tennessee, North Carolina, South Carolina, Florida, Alabama และ มหาสมุทรแอตแลนติก มีเมืองหลวงชื่อว่า Atlanta และเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในรัฐนี้ด้วย คนที่อาศัยอยู่ที่นี่จะเรียกว่า "Georgian" ภาษาที่ใช้ส่วนใหญ่คือ ภาษาอังกฤษ และสเปน

    "Peach State"
    (https://statesymbolsusa.org/sites/statesymbolsusa.org/files/primary-images/GeorgiaQuarterGeorgia.jpg)

              รัฐนี้มีชื่อเล่นว่า "Peach State" เพราะพีชที่ปลูกในจอร์เจียมีรสชาติ เนื้อสัมผัส รูปร่าง และคุณค่าทางโภชนาการโดดเด่นกว่าพีชจากที่อื่น จอร์เจียจึงตัดสินใจใช้พีชเป็นผลไม้ประจำรัฐ (the official state fruit) ตั้งแต่ปีค.ศ.1995 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังมีชื่อเล่นรัฐอื่นๆ อีก ได้แก่ "The Goober State" ("goober" เป็นคำโบราณ แปลว่า peanut) ซึ่งถั่วพีนัทเป็นพืชที่ปลูกมากในรัฐนี้ (the official state crop) และอีกชื่อหนึ่งว่า "The Empire State of the South." 

    "4 major professional leagues"
    (รูปจาก https://images-na.ssl-images-amazon.com/images/I/51uuN5FgWLL.jpg)

              รัฐนี้มีทีมนักกีฬาของรัฐทั้ง 4 ลีก ได้แก่ Atlanta Braves (Baseball), Atlanta Falcons (American Football), Atlanta Hawks (Basketball) และ Atlanta United FC (Soccer)

    "รัฐจอร์เจีย สภาพอาการศคล้ายๆ ไทยเลย"
    (รูปจาก https://cdn.thecrazytourist.com/wp-content/uploads/2017/11/ccimage-shutterstock_172296818.jpg)

              สภาพอากาศทีนี่ ช่วงหน้าร้อนอากาศจะคล้ายๆที่ไทยเลย แต่บางทีก็ร้อนมากๆ แตะ 40 องศาเลยทีเดียว (เขาเรียกว่า Hot'Lanta) ช่วงฤดูหนาว อากาศหนาวสุดจะเป็นเลขตัวเดียว ไม่ถึงติดลบ และแทบจะไม่มีหิมะเลย หิมะตกครั้งละ 1-2 ครั้งต่อปี เหมือนตกมาให้ถ่ายรูปเล่นสวยๆ เลยทำให้รัฐนี้ไม่มีรถกวาดหิมะ ช่วงหิมะตกบางทีโรงเรียนหยุด ออฟฟิศหยุดไปเลยก็มี

    "รถบัส รถไฟ ใช้บัตรเดียวกัน ไม่เสียเงินเพิ่ม"


              ระบบขนส่งสาธารณะที่นี่เรียกว่า MARTA สามารถใช้บัตรเดียวกันขึ้นรถบัสและรถไฟด้วยกันได้เลย คือถ้านั่งรถไฟลงสถานีแล้วต่อรถบัสจะไม่เสียเงินเพิ่ม รถไฟไปไม่ทั่วถึงทุกที่ แต่ก็ไม่ถือว่าแย่ ราคาเที่ยวละ $2.5 คนส่วนใหญ่ที่นี่ใช้รถส่วนตัวและ Uber/Lyft อาจเป็นเพราะรถไฟไปไม่ทั่วนี่แหละ แต่มีไปถึงสนามบินนะ เวลาขึ้นรถไฟ ผู้โดยสารส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นคนผิวสี จะเจอคนขาวก็ต่อเมื่อเค้าเดินทางไป/กลับสนามบิน หรือมีเทศกาล/event/concert แต่ก็ไม่น่ากลัวนะ เรานั่งคนเดียวประจำ เวลาไม่รีบและอยากประหยัด ถ้าโฮสต์บ้านไหนมีรถให้ออแพร์ใช้ส่วนตัวก็จะดีมากเลย

    "ที่นี่มีออแพร์เยอะมาก คนไทยก็เยอะมากเช่นกัน"

              ออแพร์เยอะมาก ใน area เราที่ LCC เดียวกันกับเรามีมากกว่า 30  คน และเอเจนซี่อื่นๆด้วย ก็พอสมควรเลย ออแพร์ไทยแถวบ้านเรามี 5-6 คนที่เจอบ่อยๆ แต่ก็มีคนที่เก็บตัว ไม่สุงสิงกับเพื่อน หรือบางทีเค้าอาจจะไปเพื่อนต่างชาติก็เป็นไปได้ ที่พูดถึงคือ ออแพร์ใน Atlanta และเมืองรอบๆ ถ้าเมืองที่ไกลออกไปจาก Atlanta หน่อย อาจจะไม่ค่อยมีออแพร์เท่าไหร่

    (รูปจาก https://georgiameditation.org/uploads/3/6/1/1/36112701/4955896.jpg?314)
           
              คนไทยที่ไม่ใช่ออแพร์สำหรับเราถือว่ามีค่อนข้างเยอะนะ เวลาไปวัดไทย (Wat Buddha Bucha Foundation) วันอาทิตย์ โดยเฉพาะวันที่มีงานก็เจอเยอะมากกว่าที่คิด และมีงานพบปะคนไทยที่จัดโดยชมรมคนไทยในจอร์เจียก็จะเจอพี่ๆ คนไทยที่นี่เหมือนกัน งานนี้น่าจะมีปีละครั้ง ถ้าจำไม่ผิด นอกจากคนไทยแล้ว ร้านอาหารไทยก็เยอะมากเช่นกัน อยู่มาเป็นปี วันก่อนยังไปเจอร้านที่ไม่เคยเห็นโดยบังเอิญ

    "ผลกระทบจากเฮอริเคน"

              ที่รัฐนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบโดยตรง มีแต่เกิดกับรัฐใกล้เคียง เช่น Florida, North Carolina และ South Carolina แล้วเราได้รับผลกระทบไปด้วย ตั้งแต่อยู่มาที่เจอก็คือเฮอริเคน

    "เป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำของโลก"
    (https://previews.agefotostock.com/previewimage/medibigoff/0960c5bd4707592d20a3db1bae3f60d6/mar-w447952.jpg)

              ได้แก่ Home Depot, UPS, Coca-Cola, TSYS, Delta Air Lines, Aflac, Southern Company, Anthem Inc., Honeywell, and SunTrust Banks ถ้าพูดถึงรัฐนี้ หลักๆ เลยก็น่าจะ Coca-Cola museum, สำนักข่าว CNN, Georgia Aquarium ที่เคยใหญ่ที่สุดในโลก แต่ตอนนี้โดนพี่จีนแซงไปแล้วจ้า

              ถ้าที่เที่ยวใน downtown ก็ตามข้างบนเลย แต่ถ้าใครสายธรรมชาติ รัฐนี้มีที่ให้ไป Hiking เยอะแยะเลย แต่ต้องขับรถออกไปนอกเมืองตาม Park หรือเขาต่างๆ ที่ใกล้ที่สุดน่าจะเป็น Stone mountain (30 min) หรือขับรถไป Savannah ซึ่งมีเขตประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ที่ยังคงมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 เอาไว้ หรือ Tybee island (3-4 hr) ได้ เป็นเมืองน่ารักๆ ไปพักผ่อนเดินชมเมือง ส่วนถ้าใครชอบเล่นเครื่องเล่นสวนสนุก ทางเราก็มี SixFlags ด้วยเช่นกัน ละก็ถ้าใครมีรถส่วนตัว สามารถขับไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ ได้ เช่น Florida, Nashville, Alabama, New orleans, South Carolina, Great Smoky mountain หรือจะขึ้นบัสไปก็ได้เช่นกัน

    (รูปถ่ายตามโปสเตอร์ซีรีย์ Walking Dead โดย Phung Greenut)

              ถ้ามีโอกาสได้มาเที่ยว Georgia ไปตามรอยซีรีส์ Walking dead ที่ Senoia ภาพแรกเป็นฉากที่พระเอกขี้ม้าเข้าเมืองบนถนน Jackson Street Bridge และซีรีย์ Vampre Diaries ที่ Convington ได้ 

    "หาที่เรียนสำหรับออแพร์ไม่ยาก มีทั้งราคาย่อมเยาว์จนถึงแพง "


    มหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ Georgia Institute of Technology
    (รูปจาก https://i2.wp.com/parsippanyfocus.com/wp-content/uploads/2018/02/Georgia-Institute-of-Technology.jpg?resize=696%2C464)

              การหาที่เรียนสำหรับออแพร์ อันนี้ต้องแล้วแต่ตารางงานของแต่ละคนด้วย จะมีคลาส ESL ที่ Georgia Piedmont Technical College ฟรี ช่วงเช้า 9.15 - 12.45 วันจันทร์ถึงพฤหัส และคลาสเย็น 18.00 - 21.00 วันอังคารถึงวันพฤหัส แล้วก็มีคลาสฟรีที่ Adult school ด้วย ส่วนคลาสที่ต้องจ่ายเงินก็จะมีทั้งราคาย่อมเยาว์และราคาแพง บางที่มีส่วนลดสำหรับออแพร์ 

    "ชอบที่อากาศไม่หนาวเกินไป และธรรมชาติสวยงาม"
    (รูปจาก https://www.journalofnomads.com/wp-content/uploads/2017/07/places-to-visit-in-Georgia.png )

              ฤดูหนาวก็ยังสามารถเดินข้างนอกได้ ไม่หนาวสั่นเกินไป แต่ฤดูร้อนก็แผดเผาเหลือเกิน รู้สึกเหมือนดวงอาทิตย์ใกล้โลกมากกว่าที่ไทย 5555 อีกอย่างที่ชอบคือรัฐนี้แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติสวยๆ เยอะ 

    "ฝากถึงคนที่กำลังจะแมชกับโฮสที่รัฐนี้..."

              รัฐนี้ไม่ค่อยมีอะไรในเมือง ถ้าคนชอบเมืองใหญ่ที่มีคนพลุกพล่านแบบ New York, Boston, Chicago หรือ San Francisco อาจจะไม่ชอบ อยู่ไม่ได้ เพราะไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ในความธรรมดา ก็มีความสุขในอีกแบบนึง มีตึกสูงๆ ทันสมัย ไม่น้อยหน้ารัฐอื่นๆ ข้างต้น และค่าครองชีพถูกกว่ารัฐต่างๆ ที่กล่าวมาแน่นอน (Sale Tax Rate 4%-8.9%) มี Farmer market ที่มีของไทยเยอะมาก คือไม่ต้องพกLobo มาจากไทยเลยก็ได้ ที่นี่มีหมด ขนม เครื่องปรุงต่างๆ มีครบเลย อีกอย่างที่นี่คนเกาหลีเยอะมากๆ มีร้านอาหารเกาหลีและบิงซูอร่อยๆ ทำให้หายคิดถึง ​After you  ได้แน่นอน 5555 อ่อ อีกอย่าง ถ้า search เมืองนี้ในกูเกิ้ล พันทิพ จะเจอว่าคนผิวสีเยอะ ซึ่งเยอะจริง แต่ไม่ได้น่ากลัวบางคนniceมาก

    😃ขอบคุณบทสัมภาษณ์จาก Phung Greenut (พฤศจิกายน 2561)



    ข้อมูลเพิ่มเติม https://en.wikipedia.org/wiki/Georgia_(U.S._state)