แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาษาและวัฒนธรรมอเมริกา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาษาและวัฒนธรรมอเมริกา แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2562

การเดินทางท่องเที่ยวในอเมริกา

(Pixabay.com)
         อเมริกาเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ และประกอบด้วยความหลากหลายทั้งเชื้อชาติประชากรทั้งคนเอเชีย ยุโรป แอฟริกา ชนเผ่าพื้นเมือง และภูมิศาสตร์ที่น่าอัศจรรย์ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจะเป็นเทือกเขา น้ำตก ป่าไม้ ทะเลทราย ภูเขาน้ำแข็ง และชายหาด ฯลฯ รวมถึงเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ในเมื่อเราได้มีโอกาสมาเป็นออแพร์ในอเมริกาแล้ว ก็ไม่พลาดที่จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพื่อพบเจอประสบการณ์และผู้คนใหม่ๆ

การเดินทางท่องเที่ยวในอเมริกาทำได้หลายวิธี ดังนี้

1. เครื่องบิน

อันดับสายการบินภายในประเทศ (US Domestic Airlines) เรียงตามลำดับคะแนนที่ดีที่สุดแห่งปี 2018

(https://i0.wp.com/thepointsguy.com/wp-content/uploads/2018/03/Best-and-Worst-airlines-results.jpg?fit=2048%2C2048px&ssl=1)

สำหรับออแพร์เงินน้อยอย่างเรา เราให้ความสำคัญกับราคาตั๋วเครื่องบินมากกว่าอันดับของสายการบิน ยกเว้นว่าราคามันใกล้เคียงกัน
(https://www.gannett-cdn.com/-mm-/9d26ee5d38a1fe9142aa99927c46894d2e23fa08/c=0-77-1024-655/local/-/media/2016/04/07/USATODAY/USATODAY/635956519401972074-USAToday-MAR16-24.jpg?width=3200&height=1680&fit=crop)

  • สายการบินที่ฟรี Personal bag 1 ใบ, Carry-on bag 1 ใบ, และโหลดกระเป๋าฟรี 2 ใบ มีสายการบินเดียวคือ Southwest Airlines ที่เหลือจะต้องจ่ายค่าน้ำหนักกระเป๋าใบแรก $30-50 และใบที่สอง $40-60 โดยน้ำหนักกระเป๋า Checked bag ต้องไม่เกิน 50 lbs
  • สายการบินที่ฟรี Personal bag 1 ใบ และ Carry-on bag 1 ใบ ได้แก่ Alaska Airlines, Delta Air Lines, JetBlue, Frontier Airlines 
  • สายการบินที่ฟรีเฉพาะ Personl bag 1 ใบ เท่านั้น ได้แก่ American Airlines, United Airlines, และ Spirit Airlines

สำหรับกระเป๋า Personal bag และ Carry-on bag สามารถนำนำของเหลวขึ้นเครื่องได้ไม่เกินขวดละ 100 ml  สามารถพกอาหาร ผลไม้ขึ้นเครื่องได้ แต่ต้องมีปริมาณของเหลวไม่เกิน 100 ml เช่นกัน และต้องนำเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เช่น โน้ตบุ๊ค ไอแพด ออกมาจากกระเป๋าตอนที่ผ่านจุดตรวจสแกนกระเป๋า(Security check)

(https://worldwidetraveler.net/wp-content/uploads/2014/06/311_poster_585wide.jpg)
ห้ามนำของมีคม อาวุธปืน น้ำยาต่างๆ สเปรย์ ฯลฯ ใส่ในกระเป๋า Carry-on
(http://www.flyjacksonville.com/images_web/items-pro.png)

การจองตั๋วให้ได้ราคาถูก ควรจองล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน มีคนบอกว่าควรจองตั๋ววันอังคารตอนบ่ายสามโมง เพราะเป็นเวลาที่สายการบินปรับราคา สามารถจองตั๋วกับเว้บไซต์ของสายการบินได้โดยตรงหรือเปรียบเทียบราคาตั๋วผ่านแอพพลิเคชั่น เช่น Expedia, Google flight, Kayak, Skyscanner, Hopper, Orbitz, Momondo เป็นต้น บางคนสมัครสมาชิกเพื่อสะสมไมล์และใช้เป็นส่วนลดกับสายการบิน


👉 ข้อดี-ข้อเสียของแอพพลิเคชันจองตั๋วเครื่องบินต่างๆ

การเช็คอิน สามารถเช็คอินออนไลน์ล่วงหน้าได้ 24 ชั่วโมงทางเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นของสายการบินเพื่อช่วยประหยัดเวลา หลังเช็คอิน Boarding pass จะถูกส่งมาให้ สามารถบันทึกเก็บไว้ในโทรศัพท์ สั่งปริ้นท์ หรือจะไปปริ้นท์ที่เคา์เตอร์สนามบิน หรือเครื่อง self check in ก็ได้

2. เดิน

หลายๆเมือง เช่น New York City, Philadelphia, Seatle, Boston สามารถเดิน เที่ยวได้โดยไม่ต้องนั่งรถ แต่เมืองอื่นๆ อาจทำได้โดยเฉพาะใน Downtown หรือ Uptown นอกเหนือจากนี้อาจต้องพึ่งพาขนส่งสาธารณะ หรือขับรถเอา

3. จักรยาน


เมืองใหญ่ๆ บางเมืองจะมีบริการให้เช่าจักรยาน โดยคิดราคาค่าบริการแบบรายชั่วโมง หรือรายวัน โดยสามารถเช่าจากจุดหนึ่งและไปคืนอีกจุดหนึ่งได้ ราคาแตกต่างกันไปในแต่ละเมือง

(http://www.southbaybicyclecoalition.org/wp-content/uploads/2018/11/BIKE-SAFETY-TIP-2.jpg)

การขี่จักรยาน ควรปฏิบัติตามกฏจราจร เช่น ขี่ในเลนของจักรยานโดยเฉพาะ รอสัญญาณไฟจราจร หยุดให้คนข้ามถนน รู้จักการให้สัญญาณมือ ถ้าเป็นไปได้ ควรสวมใส่เสื้อผ้าสีสดใส สวมหมวกกันน็อค และติดไฟที่รถจักรยานหรือตัวเราเองเวลากลางคืน

สัญลักษณ์คนข้ามถนน มาจากคำเต็มว่า Pedestrian Crossing
(http://stanleyrabinowitz.com/crossings/Pedestrians/PedXing2FacingRight.jpg)

4. รถยนตร์

          ถ้าหากมีรถเป็นของตัวเองก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะมาก แต่ถ้าหากไม่มี การเช่ารถแล้วหารกับเพื่อนก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับการเดินทางระยะไกล หรือ Road trip
          ที่อเมริกามีบริษัทให้เช่ารถหลากหลาย สำหรับการเช่ารถจากร้านนอกสนามบินจะมีราคาถูกกว่าหน่อย แต่มีเวลาเปิดร้านเช่าช้า และปิดร้านเร็ว อาจทำให้คืนรถไม่ทันต้องเช่าเพิ่มอีก 1 วัน แต่ถ้าหากเช่าจากสนามบินราคาจะแพงกว่านิดหน่อย แต่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง และถ้าเช่าจากสนามบินแต่ร้านอยู่ห่างจากอาคารผู้โดยสาร จะมีบริการรถ shuttle bus รับส่งจากจุดเช่ารถไปยังสนามบินฟรี

👉 รีวิวขั้นตอนการเช่ารถในอเมริกา
สามารถเช่าได้จากหน้าเคาน์เตอร์ หรือจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ของบริษัทให้เช่ารถ หรือจองผ่านแอพพลิเคชั่นยอดนิยมอย่าง Expedia

(http://www.enjoyingusa.com/wp-content/uploads/2016/02/car-hire-logos.jpg)
  • การเช่ารถ สำหรับคนที่มี US  Driver's license จะเช่ารถได้ง่าย สามารถใช้บัตรเดบิตจ่ายได้ แต่จะถูก hold เงินไว้จำนวนหนึ่งจนกว่าจะคืนรถเรียบร้อยว่าไม่มีค่าเสียหายใดๆ ให้เรียกเก็บเพิ่มเติม จึงจะคืนเงินที่ hold นั้นให้ แต่ใช้เวลานานประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 3 เดือน
  • สำหรับคนที่ไม่มี  US  Driver's license จำเป็นต้องใช้ใบขับขี่ไทยคู่กับใบขับขี่สากล และจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตเท่านั้น โดยต้องมียอดเงินในบัตรเครดิตมากกว่าราคาเช่าอย่างน้อย 25% ขั้นต่ำสุดคือต้องมี $200
  • ผู้เช่าควรมีอายุมากกว่า 25 ปี เพราะถ้าต่ำกว่านี้จะได้ราคาแพงกว่า $10-$25 ต่อวัน
                  👉ที่เช่ารถราคาไม่แพงสำหรับคนที่อายุน้อยกว่า 25 ปี
  • ค่าประกันรถแพงกว่าค่าเช่ามาก แต่ซื้อเถอะ เพราะเกิดอะไรขึ้นมา ค่าเสียหายแพงกว่าค่าประกันหลายเท่า
  • อย่าลืมถ่ายรูปรถยนต์ก่อนรับรถเพื่อเป็นหลักฐานว่ารอยขีดข่วน ยุบ รอยชนต่างๆ ไม่ได้เกิดจากเราทำ
  • สามารถรับรถ และคืนรถคนละที่ คนละรัฐกันได้ แต่ราคาจะแพงขึ้นด้วย
  • ควรเพิ่มชื่อคนขับรถทุกคนลงไปในสัญญาการเช่า
  • การเช่ารถขับจากอเมริกาไปประเทศใกล้เคียง เช่น แคนาดา สามารถทำได้ โดยต้องมีวีซ่าแคนาดา(สำหรับเดินทางเข้าประเทศแคนาดา) ตอนเช่าต้องแจ้งบริษัทที่เช่าว่าจะไปแคนาดา ต้องซื้อประกันระหว่างประเทศเพิ่ม และตอนข้ามไป-กลับอเมริกาต้องถูกตรวจเรื่องสิ่งของห้ามนำเข้าประเทศ และอย่าลืมพกPassport และ DS-2019 ไปด้วยเพื่อใช้กลับเข้าประเทศอเมริกา

เช่ารถจาก Turo

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a7/Turo_Logo.png/220px-Turo_Logo.png)

Turo คือ การเช่ารถจากเจ้าของรถโดนตรง คล้ายการไปเช่าบ้านอยู่แบบ Airbnb ซึ่งมีราคาถูกกว่าการเช่ารถจากบริษัท ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่น ประกันรถ ค่าน้ำมัน จุดรับ-คืนรถ ฯลฯ อยู่ที่จะตกลงกับเจ้าของรถ

* การขับรถในอเมริกา ต้องปฏิบัติตามกฏจราจรอย่างเคร่งครัด และระวังคนข้ามถนนเสมอ เพราะใบสั่ง (Ticket) ที่นี่แพงมาก โดยเฉพาะการขับรถเร็วเกินกำหนด

5. Taxi, Uber, Lyft

Taxi สีเหลือง สัญลักษณ์ของ New York
(Pixabay.com)
         
         การนั่งรถแท็กซี่ที่นี่สามารถจ่ายเงินสดหรือบัตรเครดิต/เดบิตก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะโดนชาร์จแพง และควรให้ทิปคนขับด้วย ดังนั้นคนจึงนิยมใช้ Uber หรือ Lyft แทน เพราะสะดวกกว่า สามารถดูราคาได้ ประมาณเวลาที่รถจะมารับ และไปถึงที่หมายให้ และยังสามารถตั้งวันเวลาเรียกรถล่วงหน้าได้ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นส่วนลดให้ด้วย
(https://i.ebayimg.com/images/g/bpEAAOSwruhZkfTz/s-l640.jpg)

         การเดินทางด้วยวิธีนี้เหมาะกับคนที่เดินทางเป็นกลุ่มช่วยหารค่ารถกัน จะสะดวกสบายและบางครั้งอาจประหยัดกว่าการขึ้นรถบัสหรือรถไฟ แต่สำหรับคนที่เดินทางคนเดียว มีบริการ Uber Pool และ Lyft Shared ที่ให้เราโดยสารไปกับผู้โดยสารคนอื่นในรถคันเดียวกัน ซึ่งประหยัดกว่า Uber หรือ Lyft ธรรมดา 

6. รถประจำทาง (Bus) และรถไฟในเมือง

(https://cdn.vox-cdn.com/thumbor/VFeYf5TiN9d_dbYPUPRWTD89SlQ=/0x0:2500x1664/1200x800/filters:focal(1050x632:1450x1032)/cdn.vox-cdn.com/uploads/chorus_image/image/58511189/busservice.0.jpg)

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/46/Muni_5_Fulton_trolleybus_at_Temporary_Transbay_Terminal%2C_December_2017.JPG/1200px-Muni_5_Fulton_trolleybus_at_Temporary_Transbay_Terminal%2C_December_2017.JPG)

รถประจำทางที่นี่ ขอทับศัพท์เรียกว่ารถบัส มีทั้งที่คล้ายรถประจำทางปรับอากาศบ้านเรา และรถรางมีสายโยงบนหลังคาแบบในรูป เวลาซื้อตั๋ว สามารถซื้อได้บนรถเลย (บางที่จะไม่มีเงินทอนให้ ต้องเตรียมเงินให้พอดี) หรือว่าซื้อบัตรเติมเงิน หรือแบบ Unlimited 3 Days Pass, 7 Days Pass ได้ที่สถานีรถไฟ นอกจากนี้ บางเมือง เช่น ใน San Francisco, Denver, Seattle ซื้อตั๋ว 1 ครั้งสามารถขึ้น-ลงรถกี่ครั้งก็ได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมงตามเวลาที่ฉีกตั๋ว และบางเมืองสามารถใช้บัตรเดียวขึ้นรถบัสกับรถไฟได้เลย

(https://ggwash.org/images/made/images/posts/_resized/5132417163_5fb2464542_b_800_534_90.jpg)

ตอนขึ้นรถบัสที่นี่ครั้งแรก หาที่กดกริ่งไม่เจอ เพราะรถที่นี่มีกริ่งหลายแบบ ทั้งแบบธรรมดาเหมือนบ้านเรา แบบเป็นแถบสีเหลือง และเป็นเชือกให้ดึง
(http://web.mta.info/nyct/bus/images/bus_animation_e.gif)

(http://www.go-metro.com/uploads/images/IMG_1241.jpg)
สิ่งที่น่าตื่นตาสำหรับเราอีกอย่างคือ รถทุกคันจะสามารถปล่อยลมยางรถออกเพื่อให้ระดับรถเตี้ยลง ผู้สูงอายุหรือเด็กก็จะก้าวขึ้นรถได้ง่าย ส่วนผู้พิการที่นั่งวีลแชร์หรือเด็กทารกในรถเข็นก็สามารถขึ้นรถได้เพราะทุกคันจะสามารถปล่อยทางลาดลงมาให้เข็นขึ้นไป คนขับรถจะมาช่วยล็อกล้อหรือเข็นให้วีลแชร์ด้วย  ส่วนคนที่นำจักรยานมาด้วยก็สามารถวางไว้ที่หน้ารถบัสได้เลย เท่สุดๆ

(https://www.youtube.com/watch?v=5Yfo8lefYno)

ส่วนรถไฟ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Train ถ้ารถไฟใต้ดินก็เรียกว่า Subway รถไฟที่นี่บางครั้งวิ่งได้ทั้งใต้ดิน บนดิน ขึ้นสะพานเลย
มีบางเมืองที่มีชื่อเรียกเฉพาะสำหรับรถไฟ ตัวอย่างเช่น
  • New York เรียกว่า Subway
  • Chicago เรียกว่า L
  • DC เรียกว่า Metro
  • San Francisco เรียกว่า Muni Metro
  • Boston เรียกว่า T
(https://cdn.mbta.com/images/stops/downtown_crossing.jpg)

7. รถบัสและรถไฟระหว่างเมือง (intercity)

เปรียบได้กับรถทัวร์ บขส.บ้านเราที่วิ่งข้ามจังหวัด แต่ที่นี่จะมีแบบชั้นเดียวเท่านั้น ติดแอร์ทุกคัน มีไวไฟบนรถ และที่เต้าเสียบสำหรับชาร์จโทรศัพท์ให้บนรถด้วย รถบัสแบบนี้มีหลากหลาบริษัทมาก เช่น Greyhound, Peter Pan lines, Megabus, Boltbus โดยเฉพาะในฝั่งตะวันออกของอเมริกา เช่น New York, Boston, Washington DC จะเลือกนั่งของเจ้าไหนก็ลองอ่านรีวิวดูดีๆ เพราะบางเจ้ารถก็เก่า แถมมาไม่ตรงเวลา

(https://www.gannett-cdn.com/-mm-/3d8a996800c54628744d73c15023532aefbd9cef/c=108-0-2172-1161/local/-/media/USATODAY/USATODAY/2014/07/09/1404919594000-XXX-greyhound-bus031.jpg?width=3200&height=1680&fit=crop)

          การซื้อตั๋ว สามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วเลย แต่ราคาจะแพงกว่าซื้อล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ของบริษัทรถโดยตรง หรือผ่าน Wanderu แอพพลิเคชั่นที่รวมรถบัสและรถไฟที่วิ่งข้ามเมืองทุกเจ้าไว้ให้เปรียบเทียบราคาได้ง่ายๆ ภายในแอพเดียว เพียงแค่ใส่ที่อยู่ จุดหมายปลายทางและเลือกวันเดินทาง และยังบอกด้วยว่ารถเที่ยวไหนของวันที่ออกเช้าที่สุด สายที่สุด ราคาถูกที่สุด และใช้ระยะเวลาเดินทางสั้นที่สุด 
         การซื้อตั๋วรถบัส/รถไฟที่นี่ไม่สามารถจองที่นั่งได้ ใช้ระบบ First come, first serve ใครไปก่อนได้เลือกที่นั่งก่อน มีการจำกัดจำนวนและน้ำหนักกระเป๋าChecked bag ด้วย (แต่ไม่จำกัด Carry-on bag) สามารถนำอาหารขึ้นไปทานบนรถได้ แต่ห้ามคุยโทรศัพท์บนรถ
          
 
(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/5/52/Wanderu-logo-stacked.jpg)
(https://techcrunch.com/wp-content/uploads/2015/02/wanderu-app-mockup.png?w=730&crop=1)

*ข้อควรระวัง ถ้าไม่ใช่เมืองใหญ่ๆ ที่มีนักท่องเที่ยวตลอดปี การนั่งรถบัสอาจไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร เพราะคนที่มีฐานะที่นี่เขาไม่นั่งกัน ส่วนใหญ่ก็จะเจอแต่พวกคนผิวดำที่ท่าทางดูน่ากลัว ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย เราเลือกนั่งเฉพาะเวลากลางวัน แล้วก็ไปถึงที่สถานีล่วงหน้านานหน่อยเพื่อจะได้จองที่นั่งหน้าๆ ใกล้คนขับ แล้วเก็บของมีค่าไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา
     
          ส่วนรถไฟที่วิ่งข้ามเมืองที่นี่มีเพียงบริษัทเดียว ชื่อว่า Amtrak  โดยให้บริการใน 46 รัฐ ยกเว้น South Dakota และ Wyoming รวมถึงวิ่งข้ามพรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับแคนาดาอีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการชมวิวระหว่างทาง และมีความ สะดวก ปลอดภัย
          การซื้อตั๋ว สามารถซื้อที่เคาน์เตอร์ที่สถานี หรือทาางเว็บไซต์ https://www.amtrak.com/ หรือผ่านแอพ Wanderu ก็ได้

(https://media.treehugger.com/assets/images/2013/05/amtrak-electric-locomotives-high-efficiency.jpg.860x0_q70_crop-scale.jpg)

(https://www.amtrak.com/content/dam/projects/dotcom/english/public/documents/Maps/Amtrak-System-Map-1018.pdf)

👉 รีวิว นั่งรถไฟ Amtrak เที่ยวรอบอเมริกา
👉 รีวิว นั่งรถไฟ Amtrak 45 วันในอเมริกา

8. เรือ Ferry

(https://www.nps.gov/stli/learn/news/images/Lady-Liberty_Miss-Liberty.jpg)

เป็นเรือข้ามฟากที่พาไปยังเกาะใกล้เคียง เช่น จาก San Francisco ไปคุก Alcatraz, จาก New York ไปยังเทพีเสรีภาพ, จาก Boston ไป Salem เป็นต้น บนเรือมีบริการขายอาหารและเครื่องดื่ม
สามารถจองตั่วเรือ Ferry ล่วงหน้าในราคาถูกได้จากเว็บไซต์โดยตรง หรือผ่าน Groupon.com หรือใช้ส่วนลดจากคูปองในแผ่นพับ แผนที่ หรือโบร์ชัวร์ท่องเที่ยวของเมืองนั้น

9. รถบัสนำเที่ยว (ซื้อทัวร์)

Hop-On-Hop-Off Bus / City Sightseeing Bus Tour / Trolley tour
         เป็นรถบัส หรือรถรางนำเที่ยวรอบเมือง พบได้ตามเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น New York City, Boston, Miami, San Francisco, Los Angelis, Philadelphia, St.Augustine, San Diego เป็นต้น มีไกด์คอยบรรยายในรถ จะจอดแวะจุดสำคัญต่างๆ สามารถขึ้น-ลงกี่รอบก็ได้ภายใน 1 วันตรงป้ายจอดรถบัสที่กำหนด โดยรถบัสจะมาทุกๆ 15-30 นาที เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีรถ และต้องการไปสถานที่ต่างๆ ที่ค่อนข้างไกลกันในเวลาวันเดียว

(ที่มารูป https://www.redbuses.com/wp-content/uploads/2016/06/Helsinki-1.jpg)

(https://cdn.trolleytours.com/wp-content/uploads/2016/06/st-augustine-hop-on-hop-off-tours.jpg)


รถทัวร์นำเที่ยว 
          เช่น รถทัวร์ไปอุทยานแห่งชาติ Yellow Stone, รถทัวร์ไปน้ำตกไนแองการ่า, ไปSki Resort, ไปสวนสนุก Disney World เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นแพ็กเกจทัวร์ 1-4 วัน พร้อมรถบัสรับ-ส่งจากโรงแรม สถานีรถไฟ หรือสนามบิน ส่วนใหญ่ไม่รวมค่าอาหารกลางวัน มีไกด์คอยบรรยายตลอดทาง เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีรถและต้องการเดินทางไปยังสถานที่ที่รถสาธารณะเข้าไม่ถึง

(https://www.yellowstonenationalparklodges.com/content/uploads/2018/06/Historic-Yellow-Bus-TIFF-61.jpg)

สามารถจองตั่วรถบัสนำเที่ยวเหล่านี้ในราคาถูกได้จาก Groupon.com , Expedia.com. หรือใช้ส่วนลดจากคูปองในแผ่นพับ แผนที่ หรือโบร์ชัวร์ท่องเที่ยวของเมืองนั้น

10. รถบ้าน RV (Recreational Vehicle), Motorhome และ Camper Van

          รถพวกนี้คือรถตู้ รถบัส หรือรถกระบะที่สามารถกินนอน ทำอาหารได้ในรถระหว่างขับตระเวนท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งรถพวกนี้แบ่งเป็นหลายประเภท แตกต่างกันตามขนาดและฟังก์ชันการใช้งาน การเลือกรถขึ้นอยู่กับว่าเรามีงบประมาณเท่าไร จะไปที่ไหนบ้าง มีผู้ร่วมทางกี่คน รวมถึงจำนวนสัมภาระที่นำไป

ภายในรถบ้าน


ประเภทของรถบ้าน

1. Class A motorhomes มีขนาดใหญ่ที่สุด พื้นที่ภายในมาก สิ่งอำนวยวามสะดวกครบครันทั้งห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนอน ตู้เย็น อ่างล้างมือ เครื่องทำความร้อน แต่ก็ใช้พื้นที่ในการจอดมาก และใช้น้ำมันมากที่สุดด้วย ไม่เหมาะกับการขับบถนนเส้นเล็กๆ หรือทริปสั้นๆ
(https://www.jayco.com/images/pages/3689-Jayco2017_Precept31UL_34Front_OceanBlue.png)

2. Class B motorhomes หรือ Camper Van มีขนาดเล็ก มีพื้นที่สำหรับนอน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น แต่ไม่มีห้องน้ำ ขับง่าย จอดตรงที่จอดรถธรรมดาได้
(https://winnebagoind.com/binaries/content/gallery/wgohippoproject/misc/archived-models/class-b.png)

3. Class C motorhomes มีขนาดปานกลางระหว่าง Class A และ B โดยดัดแปลงจากรถกระบะหรือรถตู้ เหมาะกับการเดินทางหลายคน และราคาถูกกว่า Class A มาก มีห้องน้ำในตัว
(https://assets.interactcp.com/generalrv/images/brand-photo/thor-synergy.png.pagespeed.ce.E--QQSjSuh.png)

4. Travel trailers คือตู้นอนขนาดเล็ก-ปานกลางที่พ่วงออกมาจากรถกระบะ, SUV หรือ minivan มีทั้งขนาดเล็กจนถึง 33 ฟุต นอนได้หลายคน แต่ข้อเสียคือขับยาก เพราะส่วนท้ายสามารถแกว่งไปมาได้ตามจังหวะเลี้ยว กลับรถยาก
(https://starcraftrv.com/wp-content/uploads/2017/04/2019-Starcraft-Satellite-17RB.WEB_.png)
5. 5th Wheel Trailers คล้าย Travel trailers ขนาดใหญ่ที่พ่วงต่อกับรถกระบะ โดยมีบางส่วนของตู้นอนอยู่เหนือรถกระบะ

(https://www.jayco.com/images/pages/3903-Pinnacle18_37MDQS_FrtEXT-nostairs.png)

6. Popup trailer เป็นตู้นอนแบบเต๊นท์ ซึ่งพับเก็บได้และมีขนาดเล็ก พ่วงต่อกับรถกระบะ ข้อเสียคือมีพื้นที่ภายในเล็ก สัมผัสอากาศข้างนอกมาก(ถ้าอากาศหนาวคงอยู่ไม่ไหว) และเราว่าอันตรายที่จะนอนค้างคืนในตู้นอนแบบเต๊นท์แบบนี้
(https://assets.interactcp.com/interactrv/brand_photo/imgh_800x600-m0504201817013740/brand_photo_201805040501373983945712.jpg)

7. Truck campers คล้ายรถจี๊ปหรือระกระบะที่มีตู้นอนเล็กๆ ติดกับตัวรถข้างหลังเลย นอนได้ 2-3 คน
(https://s3.amazonaws.com/images.gearjunkie.com/uploads/2018/03/pop-up-camper.jpg)

         ส่วนใหญ่คนจะเช่ารถ Class C motorhomes ขับเพราะขนาดกำลังดี ขับไม่ยาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงห้องน้ำ แต่ก็เคยมีออแพร์เช่า Class B motorhomes หรือ Camper Van ขับ แล้วนอนพักและเข้าห้องน้ำที่ Campgroud เอา

*การเช่ารถบ้านให้ได้ราคาถูกควรติดต่อไปยังบริษัทโดยตรง 
*ตอนรับรถ ให้เจ้าหน้าที่พาดูรอบรถ ตรวจสอบรอยขีด และให้เขาสาธิตการใช้อุปกรณ์ภายในรถทุกอย่างให้ละเอียด
*อย่าลืมขอเบอร์ติดต่อเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
*สามารถจอดแวะพัก เติมน้ำ และไฟได้ที่ Campground

(https://handluggageonly.co.uk/wp-content/uploads/2017/01/Map-of-USA.jpg)




แหล่งอ้างอิง
https://blog.oxforddictionaries.com/2013/01/10/underground-railway-150th-anniversary/
http://skylightelegance.com/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%84%E0%B8%9F_Und_Amtrak/54d43c1d09a72e500c00124c
https://www.curbed.com/2018/8/16/17697922/rv-class-comparison-travel-trailer-camper-van-guide
https://learn.compactappliance.com/types-of-rvs-and-motorhomes/
https://www.insuramatch.com/blog/2015/07/what%E2%80%99s-difference-between-rv-motorhome-and-camper

บทความที่เกี่ยวข้อง
👉 แอพพลิเคชั่นที่ควรมี เมื่อไปเที่ยวอเมริกา



วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Spring Forward, Fall Back ปรับเวลาในอเมริกา

ในประเทศอเมริกาที่กว้างใหญ่ นอกจากจะแบ่งเป็นหลาย Time Zone ให้สับสนกันแล้ว ยังมีการใช้ระบบการปรับเวลา (Daylight Saving Time หรือ DST) ปีละ 2 ครั้งอีกด้วย


(https://pixabay.com/en/pocket-watch-time-of-sand-time-3156771/)

การปรับเวลา (Daylight Saving Time หรือ DST) คืออะไร?
          ในวันอาทิตย์ เวลา 2:00 AM 2 วันต่อปี เพื่อปรับเวลาในเวลาตีสอง โดยปรับไปข้างหน้า 1 ชั่วโมงในฤดูใบไม้ผลิ (Spring Forward) และปรับย้อนกลับ 1 ชั่วโมงในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (Fall Back) มีเพียงรัฐ Arizona (ยกเว้น Navajo), Hawaii, American Samoa, Guam, the Northern Mariana Islands, Puerto Rico และ the United States Virgin Islands ที่ไม่มีการปรับเวลา DST

ทำไมต้องปรับเวลา?
          เพราะว่าในประเทศที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ และไม่ได้อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป และบางประเทศในแอฟริกา ไม่ได้รับแสงแดดตลอดทั้งปี ทำให้ช่วงฤดูร้อนจะรู้สึกพระอาทิตย์ขึ้นเร็ว และตกช้า มีเวลาระหว่างวันที่ยาวนานกว่าฤดูหนาวที่เช้าแล้วยังรู้สึกมืดอยู่ และพระอาทิตย์ตกดินเร็ว การปรับเวลาเพิ่มขึ้น และลดลงนี้จึงช่วยประหยัดพลังงาน และช่วยในการดำรงชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างเช่น

  • สมมุติในฤดูร้อน พระอาทิตย์ขึ้น 5:00 AM ก่อนปรับเวลาผู้คนตื่นนอนเวลา 6:00 AM แต่หลังปรับเวลาไปข้างหน้า 1 ชม. เวลานอนจึงหายไป 1 ชั่วโมง ผู้คนต้องตื่นเร็วขึ้น (เสมือนตื่น 5:00 AM) ทำให้มีเวลาทำกิจกรรมระหว่างวันมากขึ้น
  • ในฤดูหนาว พระอาทิตย์ขึ้น 7:00 AM เด็กนักเรียนต้องมายืนรอรถโรงเรียนตั้งแต่ 6:30 AM ฟ้ายังมืดอยู่เลย แถมอากาศก็หนาว ดังนั้นการปรับเวลาย้อนหลังไป 1 ชั่วโมง ทำให้ผู้คนมีเวลานอนมากขึ้น (เสมือนออกมารอรถตอน 7:30 AM ซึ่งพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว)
ใครคือผู้คิดค้นแนวคิดการปรับเวลานี้?
          ในปีค.ศ.1905 William Willett ชาวอังกฤษได้เสนอแนวคิดให้ปรับนาฬิกาไปข้างหน้า 80 นาที ในระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม เพื่อให้ทุกคนได้ใช้เวลากับแสงแดดในฤดูร้อนมากขึ้น แต่เขาก็เสียชีวิตลงก่อนที่จะได้เห็นความฝันของเขาเป็นจริง
          สิบปีต่อมา วันที่ 30 เมษายน 1916 ประเทศเยอรมันเป็นประเทศแรกที่ประกาศใช้ระบบปรับเวลานี้ ตามมาด้วยประเทศอังกฤษในอีก 2 อาทิตย์ถัดมา

ทำไมต้องปรับเวลาตอนตีสองวันอาทิตย์?
          เพราะเวลา 2:00 AM คือช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังนอนหลับ หากปรับตอนเช้าวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์ อาจจะเกิดความโกลาหล และทำให้ไปทำงาน หรือไปโรงเรียนสายได้
          ทั้งนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และนาฬิกาดิจิตอล จะปรับเวลาให้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าหากเป็นนาฬิกาอะนาล็อค เจ้าของนาฬิกาก็ไม่จำเป็นต้องตื่นมาปรับเวลาตอนตีสอง แต่ให้ปรับไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอนเลย หรือบางคนจะชอบปรับตอนเที่ยงคืน ทีนี้ก็เข้านอนได้อย่างสบายใจไม่ต้องกลัวตื่นผิดเวลา

สำหรับปี 2019 วันที่ปรับเวลาคือ?
วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2019 ปรับไปข้างหน้า 1 ชั่วโมง (เวลา 1:59 AM แล้วกระโดดไปเป็น 3:00 AM)
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2019 ปรับถอยหลัง 1 ชั่วโมง (เวลา 1:59 AM แล้วกลับกลายเป็น 1:00 AM)



แหล่งอ้างอิง
https://www.timeanddate.com/time/change/usa/new-york
http://www.sereechai.com/index.php
https://www.history.com/news/8-things-you-may-not-know-about-daylight-saving-time
https://gogoamerica.com/

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Super Bowl

เพิ่งจบไปสำหรับการแข่งขันกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา "Super Bowl" ที่คนอเมริกัน และต่างประเทศรอคอย

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/1/16/Super_Bowl_logo.svg/220px-Super_Bowl_logo.svg.png)

Super Bowl คืออะไร ?
Super Bowl คือการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลระหว่างทีมผู้ชนะเลิศจากสาย The National Football League (NFL) และ The National and the American Football Conferences (AFL) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันอาทิตย์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 6:30 PM (Eastern time)

ความเป็นมา 
(https://cdn.dribbble.com/users/791598/screenshots/3221260/sbdribbble.jpg)

ในอดีตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกามีลีกฟุตบอล (อเมริกันฟุตบอล)ลีกใหญ่อยู่เพียงหนึ่งเดียวคือ  The National Football League (NFL) จนกระทั่งปี 1960 กลุ่มนายทุนได้ร่วมมือกันก่อตั้งลีกขึ้นมาอีกลีกชื่อว่า American Football League (AFL) ซึ่งก็เป็นลีกใหญ่ไม่แพ้กัน ทั้ง NFL และ AFL ต่างก็มีทีมดีๆ นักกีฬาเก่งๆอยู่ทั้งสองลีก ทำรายได้มหาศาลในทุกๆ ปี เพราะนี่คือสุดยอดอเมริกันเกมที่คนอเมริกันเรียกว่าแทบทุกครัวเรือนต้องดู จึงทำให้รายการแข่งทั้ง NFL และ AFL มียอดผู้ชมถล่มทลาย

ต่อมาในปี 1967 เกิดความร่วมมือกันเพื่อจะนำแชมป์ประจำฤดูกาลของทั้งสองลีกมาเจอกัน จึงเกิดเป็นการแข่งขัน "Super Bowl" ขึ้น

ทำไมต้องชื่อ Super Bowl?

ในตอนนั้น ผู้เกี่ยวข้องถูกมอบหมายให้คิดชื่อที่จะใช้สำหรับการแข่งขันสุดยิ่งใหญ่นี้ แต่ก็ยังไม่มีชื่อที่ดีพอ จนกระทั่ง นายLamar Hunt หัวหน้าทีมที่ได้รับมอบหมายในขณะนั้น เสนอชื่อ "Super Bowl" ขึ้นมาแบบเล่นๆ โดยมีที่มาจากชื่อ "Super ball " ที่เป็นลูกบอลเด้งดึ๋ง ของเล่นซึ่งลูกชายของเขาและเด็กๆ ในยุคนั้นชอบเล่นมาก

ในตอนแรกมีการถกเถียงกันว่าจะใช้ชื่อ "Super Bowl" ดีหรือไม่ เพราะไม่หรูหราเหมาะสมกับการแข่งระดับยิ่งใหญ่นี้เลย แต่ก็ไม่มีใครเสนอชื่อที่ดีกว่า จึงใช้ชื่อ Super Bowl เรื่อยมา แม้ภายหลังมีการเสนอชื่อใหม่ว่า "The game would be known as the AFL-NFL World Championship Game" แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมเพราะยาว เยิ่นเย้อเกินไป

ในปี 1970 มีการยุบทั้ง 2 ลีกมารวมกัน เพื่อความสะดวกในหลายๆ อย่างทั้งทางธุรกิจและคนดู และใช้ชื่อว่า "National Football League"  แต่ยังคงแบ่งเป็น 2 สาย ได้แก่ NFC หรือ National Football Conference และสาย AFC หรือ American Football Conference ซึ่งพอได้ผู้ชนะจากทั้งสองสายแล้ว ก็จะมาแข่งกันในรอบชิงชนะเลิศในรายการ Super Bowl นี้นั่นเอง

ทำไม Super Bowl ถึงเป็นที่นิยม ?
สำหรับชาวอเมริกัน อเมริกันฟุตบอลถือเป็นความภาคภูมิใจ และเกมกีฬาที่สนุกสำหรับครอบครัว มีการแข่งขันที่จริงจังมากตั้งแต่ระดับโรงเรียน มหาวิทยาลัย รัฐ และระดับประเทศ โดยจะเห็นได้ว่าแต่ละรัฐจะมีสัญลักษณ์ประจำทีมที่เท่ และน่าจดจำ และยังสื่อถึงประวัติความเป็นมาของทีมอีกด้วย
(http://cdn.wallpapersafari.com/91/82/RfwIMj.gif)

1. เป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่
(https://bcheights.com/wp-content/uploads/2019/02/pats_online_color-678x381.jpg)

เพราะแต่ละทีมถือเป็นตัวแทนของคนทั้งรัฐ และยิ่ง Super Bowl เป็นการแข่งที่นำเอาผู้ชนะของลีกที่ยิ่งใหญ่ของประเทศทั้งสองสายมาเจอกันด้วยแล้ว จึงถือเป็นการแข่งขันที่มีความสำคัญมาก เป็นการแข่งกีฬาที่เป็นที่นิยมมากที่สุดของชาวอเมริกันเลยทีเดียว บางคนจะซื้อตั๋วบินไปดูการแข่งที่สนามจริงๆ กันเลย แม้ราคาตั๋วจะแพงถึง $2500 (จากอดีตการแข่ง Super Bowl ครั้งแรกมีราคาเพียง $12 เท่านั้น)
👉รวมหน้าตาตั๋วและราคาของ Super Bowl ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

2. วันแห่งการเฉลิมฉลองและรับประทานอาหาร
(https://www.eatdrinkdeals.com/home/wp-content/uploads/2017/02/superbowl-party-specials-675x428.jpg)

ในวันนี้ของทุกๆ ปี ถือเป็นวันสำคัญประจำปี ท้องถนนจะเงียบเหงาเป็นพิเศษ เพราะทุกคนจะรีบกลับบ้านไปนั่งดูถ่ายทอดสด Super Bowl คนในครอบครัวจะกลับมาเจอกันเสมือนวันรวมญาติ เพื่อนๆ ที่เชียร์ทีมเดียวกันจะนัดกันไปดูเกมที่บ้านของใครคนหนึ่ง ร้านอาหารและผับบาร์ต่างเต็มไปด้วยผู้คนที่จะแห่เข้ามาเชียร์ทีมโปรด บรรดาเครื่องดื่ม อาหาร รวมไปถึงแอลกอฮอล์จะขายดีขึ้นมากกว่าเดิม เราจะเห็นผู้คนใส่เสื้อประจำทีม และนั่งดูการแข่งพร้อมเบียร์ และปีกไก่ทอด บางร้านมีโปรโมชั่นให้ทานฟรีหากทีมของตัวเองชนะ วันนี้นับว่าเป็นวันแห่งการกินของคนอเมริกาที่ใหญ่มากที่สุดแห่งปีรองจากวัน Thanksgiving เท่านั้น

3. การแสดงโชว์ดนตรีที่ยอดเยี่ยมแห่งปี

ไม่ใช่เฉพาะแฟนกีฬา หรือคอฟุตบอลเท่านั้น หลายๆ คนดูการถ่ายทอดสด Super Bowl เพราะเฝ้ารอการแสดงระหว่างพักครึ่งของซูเปอร์โบวล์ (Half -time show) ซึ่งได้เชิญนักร้องดังๆ ระดับประเทศและระดับโลกมาร่วมแสดงบนเวที เช่น Beyoncé, Prince, the Rolling Stones, Bruce Springsteen, Madonna, Michael Jackson, Bruno Mars และ Maroon 5 เป็นต้น

แต่ในอดีตเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เป็นเพียงการแสดงพาเหรด วงโยธวาทิตเล็กๆ และเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัย หรือศิลปินเล็กๆ เท่านั้นจนกระทั่งปีค.ศ. 1991 เป็นปีแรกที่มีศิลปินป๊อปชื่อดังขึ้นแสดง และศิลปินกลุ่มนั้นคือบิดาแห่งบอยแบนด์ยุคใหม่อย่าง New Kids on the Block นั่นเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ช่วงเวลาพักครึ่งเพียงแค่ 12 นาทีนี้กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ผู้ชมทั้งโลกต่างเฝ้ารอ
👉 รวม 10 โชว์เด็ดช่วงพักครึ่ง Super Bowl ในอดีต

4. โฆษณาที่น่าสนใจที่มีมูลค่าสูงถึง 5 ล้านดอลลาร์
ด้วยยอดผู้ชมกว่า 100 ล้านคน บรรดาบริษัท ผู้ประกอบการต่างๆ พร้อมใจกันเปิดตัวโฆษณาสินค้า หรือภาพยนต์ใหม่ๆ ช่วงนี้ ที่ทั้งแปลก ฮา สนุก และคาดไม่ถึง ถึงแม้ราคาสำหรับการออนแอร์โฆษณาของซูเปอร์โบวล์สมัยนี้จะอยู่ที่ 5 ล้านดอลลาร์ต่อ 30 วินาทีก็ตาม!! หรือการให้ผู้ชนะตะโกนว่า "I'm going to Disney World" ก็ได้รับค่าแรงไปเลย $7500 ง่ายๆ เลย
👉 10 ตัวอย่างโฆษณาที่น่าสนใจ Super Bowl 2019

สำหรับออแพร์ หรือใครที่มีโอกาสมาที่อเมริกา ก็อย่าพลาดช่วงเวลาสำคัญนี้ ที่จะได้เรียนรู้วัฒนธรรมและร่วมสนุกไปกับการชมเกมกีฬา และการเฉลิมฉลองของชาวอเมริกัน

ช่องทางการรับชม Super Bowl
วันอาทิตย์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ เวลาแข่ง 6:30 PM (Eastern time) 
ทางโทรทัศน์ช่อง CBS หรืออินเทอร์เน็ต  CBSSports.com และแอพพลิเคชัน the CBS Sports App

👉วิธีการดูอเมริกันฟุตบอลเบื้องต้น
http://www.soccersuck.com/boards/topic/895543




แหล่งอ้างอิง
https://mgronline.com/marsmag/detail/9600000012545
https://www.voathai.com/a/super-bowl-50-preview/3172140.html
https://thestandard.co/super-bowl-halftime-show/
http://www.dooddot.com/culture-superbowl-halftime-shows/
https://www.unlockmen.com/whizdom-inspire-sukhumvit
https://www.gqthailand.com/life/article/10-best-superbowl-halftime
https://education.co.th/2018/02/05/super-bowl-ads/
http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:http://www.sportingnews.com/us/nfl/news/super-bowl-53-commercials-how-much-do-ads-cost-in-2019/l9ghpuv7kwwq1uhwy9xd35rhm
https://www.cbssports.com/nfl/news/super-bowl-2019-halftime-maroon-5-to-headline-show-on-cbs-with-travis-scott-and-big-boi-as-guests/
https://www.sbnation.com/nfl/2014/8/28/6074397/24-maps-that-explain-the-nfl
https://share.america.gov/why-americans-go-crazy-ovr-super-bowl/


วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562

คำศัพท์ Thanksgiving

Happy Thanksgiving 🍁🦃❤️
สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้า

อีกหนึ่งเทศกาลที่สำคัญของคนอเมริกัน ตรงกับวันพฤหัสที่สี่ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
ในวันนี้สมาชิกในครอบครัวจะมานั่งรับประทานอาหารด้วยกัน ที่ขาดไม่ได้เลยคือ 🦃ไก่งวงกับซอสแครนเบอร์รี่ 🥔มันฝรั่งบดราดน้ำเกรวี่ 🍞ขนมปังข้าวโพด และ🥧พายฟักทอง
คำศัพท์และวลีที่น่าสนใจเกี่ยวกับThanksgiving
1. (To be) thankful (for something) เป็นวลีที่จะได้ยินบ่อยมากในวันขอบคุณพระเจ้า แปลว่า รู้สึกขอบคุณหรือมีความสุขต่อสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น
เช่น I’m thankful that I’m healthy and that all of us could be together for this Thanksgiving feast.
2. (To be) a turkey แปลว่า แปลกประหลาด หรือน่าขบขัน
เช่น As a joke, while John was riding the bus he was making airplane sounds and pretending that he was a pilot. He’s a real turkey sometimes.
3. Hot potato แปลว่าเผือกร้อน หมายถึง ปัญหาหรือเรื่องยุ่งยากที่ไม่มีใครอยากรับไว้แก้ไข
เช่น We still need to plan our presentation, but no one has the time or desire to work on it. The presentation is becoming a hot potato, so someone needs to take charge.
4. Corny แปลว่า เปิ่น ล้าหลัง
เช่น ow that Tom is a father, he seems to constantly make “dad jokes”—corny jokes that no one laughs at.
5. Cold turkey การหักดิบ อย่างฉับพลันทันที
เช่น Frank gave up smoking cold turkey.
6. Food coma แปลว่า อาการง่วงซึมหลังรับประทานอาหารปริมาณมาก
เช่น We just fell into a food coma after gobbling up all the meals.



คำศัพท์ Shopping - Black Friday

"Black Friday" วันแห่งการช้อปปิ้งแห่งปีของคนอเมริกัน

หลังจากวัน Thanksgiving ถัดมาก็เป็นวันช้อปกระหน่ำ Black Friday ที่ผู้คนแห่กันออกมาซื้อสินค้าเพราะว่าลดราคาเยอะมาก บางอย่างลดมากกว่า 50% เพิ่งไปได้เสื้อโค้ชกันหนาวมาสดๆ ร้อน จากราคา $300 กว่า ลดเหลือแค่ $160 ว้าวววววว
คำศัพท์และวลีที่เกี่ยวข้องกับ Black Friday ได้แก่
1. BOGO มาจาก Buy one, get on แปลว่า ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งนั่นเอง แต่ถ้าเจอ 50% off แปลว่า ซื้อของราคาเต็มหนึ่งชิ้น สามารถซื้อชิ้นที่สองได้ในราคา 50%
2. Cyber Monday คือวันจันทร์หลัง Thanksgiving ในวันนี้ห้างร้านต่างๆ จะลดราคาสินค้าสำหรับผู้ซื้อทางออนไลน์
3. Cyber sale หมายถึงสินค้าชิ้นนี้จะลดราคาเฉพาะผู้ซื้อทางออนไลน์เท่านั้น ถ้าซื้อที่ร้านจะต้องจ่ายแพงกว่านี้
4. Doorbuster deal/doorbuster savings/early bird specials หมายถึง ช่วงเวลาเฉพาะที่สินค้าลดราคา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ร้านเพิ่งเปิด เช่น 8.00-9.00 น.
5. Exclusions แปลว่า การยกเว้น สิ่งที่ยกเว้น ในที่นี้หมายถึง สินค้าที่ไม่รวมอยู่ในโปรโมชั่นลดราคา
เช่น 40-60% off everything in the store!! Some exclusions apply.
6. Lay-away หรือ Lay-by คล้ายการซื้อสินค้าแบบผ่อนจ่าย แต่วิธีนี้ผู้ซื้อจะไม่ต้องเสียดอกเบี้ย และจะได้รับสินค้าต่อเมื่อจ่ายครบตามราคาที่ตั้งไว้
เช่น We bought the table and chairs on layaway, so we won't have them until December
7. Night owl deals/specials สินค้าที่ลดราคาตอนดึกๆ
8. Price match คือ การใช้นโยบายราคาต่ำเท่าคู่แข่งทางการตลาด ตัวอย่างเช่น Walmart ขายสินค้าชิ้นหนึ่งราคา $50 แต่คุณได้รับอิเมล์ว่าสินค้าชนิดเดียวกันเป๊ะที่ Target ราคาแค่ $45 คุณสามารถนำหลักฐานอิเมล์นี้ไปที่ Walmart เพื่อซื้อสินค้านั้นได้ในราคา $45 เท่าที่ Target
They are matching Target’s price.
9. Rain check แปลว่าเลื่อนออกไป ไว้โอกาสหน้า สามารถใช้กับการนัดหมาย เช่น Can we take a rain check on that cup of coffee? แต่ในที่นี้หมายถึง คุณสามารถจองและกลับมาซื้อสินค้าที่ลดราคาแต่ขายหมดไปแล้วได้ในราคาเดียวกับที่ลดวันนี้ โดยเจ้าของร้านจะถามว่า Would you like to have a rain check? ถ้าคุณตอบ Yes เขาจะให้ Note มาเพื่อยืนยันว่าคุณจะกลับมาซื้อได้ตามวันที่กำหนดในกระดาษโน๊ตนั้น

10. Red dot/ Red-tag clearance สินค้าลดราคาเฉพาะชิ้นที่มีสัญลักษณ์จุดสีแดงหรือป้ายสีแดงบนฉลาก บางครั้งอาจมีสติ๊กเกอร์สีอื่นๆ ด้วย
11. get the jump on / get a jump on แปลว่า ทำสิ่งนั้นเป็นคนแรกก่อนที่คนอื่นจะทำ
เช่น With Black Friday recognized as a day to get the jump on the shopping season, retail marketers have set their sights on other days of the week.
12. To Bargain แปลว่า ต่อราคา
เช่น They often bargain away in the shops for hours.
13. Bargain-hunters หมายถึง คนที่พยายามซื้อของหรือสินค้าจากแหล่งที่มีราคาถูกที่สุด
เช่น Thousands of bargain hunters queued up for hours.
People are trying to bargain hunt.
14. Consumer footfall หมายถึง ผู้คนจำนวนมากที่เข้ามาซื้อของในร้าน
15. A good deal แปลว่าข้อเสนอที่ดี แต่ถ้า A good/great deal of แปลว่า จำนวนมาก
เช่น
You: “Your sister bought a new car? How much did she pay?”
Jackie: “She got a good deal. She only paid $5,000.”
16. Overpriced แปลว่า แพงเกินไป
เช่น I like this winter coat, but it’s overpriced. I saw the same coat somewhere else and it was 50% off.
17. A rip off แปลว่า สิ่งที่ขายเกินราคา
เช่น $300 for that shirt? - That's a complete rip-off.
18. To rip someone off โกงราคา ขูดเลือดขูดเนื้อ
เช่น The taxi ride should have cost $10, but the driver ripped me off. He charged me $20!
19. Stingy ตระหนี่ ขี้เหนียว งก
เช่น I don’t want to be stingy on this vacation. I want to go out to nice restaurants and stay in a comfortable hotel.