แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ก่อนเป็นออแพร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ก่อนเป็นออแพร์ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Diet restriction - เมื่อโฮสต์มีข้อจัดในการรับประทานอาหาร


"เรื่องอาหาร ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ" ในการเลือกแมตช์กับโฮสต์แฟมิลี่ 

https://dailyfoodtoeat.files.wordpress.com/2018/05/dietary-restrictions-blog.jpg


ข้อจำกัดในการรับประทานอาหารนี้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของหลักปฏิบัติทางศาสนา ไลฟ์สไตล์ หรือปัญหาสุขภาพก็ตาม 
ออแพร์จะต้องถามให้ละเอียดก่อนที่จะตกลงแมตช์กับโฮสต์ 

อย่างเช่น โฮสต์ที่เป็น Vegan ไม่ทานเนื้อเลย แต่บางบ้านจะอนุญาตให้ออแพร์ซื้อเนื้อเข้ามาทำอาหารทานเฉพาะสำหรับตัวออแพร์เองได้ แต่บางบ้านจะเคร่งครัดมากๆ จนออแพร์อยู่ไม่ไหวต้องขอรีแมชก็มี

ประเภทของข้อจำกัดในการรับประทานอาหาร ได้แก่

1. แพ้อาหาร (Food allergy) เช่น 

คนที่ร่างกายแพ้กลูเตน จะรับประทานอาหารที่เป็น "Gluten free" 


https://i0.wp.com/images-prod.healthline.com/hlcmsresource/images/AN_images/gluten-free-diet-1296x728.jpg?w=1155&h=1528

Gluten free คือ ผลิตภัณฑ์อาหารที่ปราศจากโปรตีนกลูเตน ซึ่งเป็นสารที่พบอยู่ในธัญพืชจำพวกข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ข้าวทริทิเคลี รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ทำจากแป้งสาลีหรือธัญพืชเหล่านี้ด้วย เช่น ซอสถั่วเหลือง เบียร์ ผลิตภัณฑ์จากมอลต์ ขนมปัง พาสต้า เค้ก หรือน้ำสลัด เป็นต้น

หลายคนยังเชื่อว่าอาหาร Gluten Free มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง เช่น ลดน้ำหนัก บรรเทาอาการจากโรคซึมเศร้า ปวดศีรษะ อ่อนเพลียเรื้อรัง หรือช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉง เป็นต้น 

สำหรับคนทั่วไป สามารถรับประทานอาหารประเภท Gluten Free ได้ แต่ไม่ควรรับประทานเป็นประจำหรือทดแทนอาหารมื้อปกติ เพราะอาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารและเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจากการขาดสารอาหารสำคัญ ดังนั้น ผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารประเภท Gluten Free เป็นประจำจึงควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนเสมอ

นอกจากนี้ การแพ้อาหารชนิดอื่นๆ ที่พบบ่อย เช่น 

https://mpics.mgronline.com/pics/Images/560000010963401.JPEG


แพ้ไข่ (Egge free) จะต้องระวังในเบเกอรี่มากๆ เพราะมีไข่เป็นส่วนประกอบแทบทุกอย่าง และบะหมี่ เป็นต้น
แพ้อาหารทะเล (Shellfish free) เช่น ปู กุ้ง กั้ง หอย ปลาหมึก เป็นต้น 
แพ้ปลา (Fish free) แตกต่างจากการแพ้อาหารทะเล ต้องสอบถามให้แน่ชัดว่าแพ้ปลาชนิดใด
แพ้ผลิตภัณฑ์จากถั่วต่างๆ  เช่น ถั่วปากอ้า (broad bean /fava bean) ในผู้ป่วยที่เป็น Sicken cell anemia, ถั่วลิสง (peanut), ถั่วเหลือง (แพ้กลูเตนในถั่วเหลือง) เป็นต้น * ข้อสังเกต Bean , Pea, และ Nut แปลว่าถั่วเหมือนกัน แต่ในภาษาอังกฤษ ไม่เหมือนกัน แตกต่างกันที่เมล็ดและฝัก คนที่แพ้Bean อาจสามารถกิน Nut ได้
แพ้ผลิตภัณฑ์จากนม (Dairy free) เช่น นมวัว ชีส เนย โยเกิร์ต มาการีน ไอศกรีม ซึ่งโฮสต์อาจเลี่ยงไปทานผลิตภัณฑ์นมจากพืชแทน
อื่นๆ เช่น แพ้ข้าวโพด, แพ้ผักผลไม้, แพ้งา, แพ้กะทิ, แพ้สัตว์ปีก เป็นต้น


❗❗ สำหรับออแพร์ที่มีโฮสต์พ่อแม่ หรือเด็กๆ ที่แพ้อาหาร 
ควรสอบถามโฮสต์ให้แน่ใจก่อนว่าอะไรที่สามารถรับประทานได้และไม่ได้โดยเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการแพ้อาหาร ซึ่งรุนแรงจนทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กทารกที่ยังไม่สามรถสื่อสารได้ หรือเด็กเล็กๆ ที่ยังเลือกอาหารทานเองไม่ได้ จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ 

https://www.policymed.com/wp-content/uploads/2017/08/The-EpiPen-Whistleblower-Saga-Comes-to-a-Close.png

พวกนี้จะมี "Epi-pen" หรือเข็มฉีด Epinephrine หรืออีกชื่อคือAdrenaline อัตโนมัติ ใช้ในการช่วยชีวิตหรือบรรเทาปฏิกิริยาภูมิแพ้เฉียบพลัน (Anaphylaxis)ในกรณีฉุกเฉิน ก่อนรีบไปพบแพทย์โดยเร็ง สามารถศึกษาวิธีใช้ Epi-pen ได้ที่ http://www.siphhospital.com/th/news/article/share/801/Anaphylaxis


2. Vegetarian / Vegan  (อาหารมังสวิรัติ)  

จะพบมากในชาวยุโรป เพื่อรักษาสุขภาพ เพราะเชื่อว่าเนื้อแดงทำให้ร่างกายเกิดโรค เช่น มะเร็ง โรคอ้วน โรคภูมิแพ้ เป็นต้น บางบ้านเคร่งครัดมาก แม้แต่ไข่ก็ไม่แตะ จะรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืชเป็นหลัก

https://blog.busuu.com/wp-content/uploads/2019/02/how-to-say-vegan-vegetarian-different-languages.jpg


ความแตกต่างของ vegerarian และ vegan

🍏Vegetarian อาหารมังสวิรัติ เป็นอาหารที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ แต่ยังมีนม ไข่ ชีสได้

🍏Vegan หรืออาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์ เป็นอาหารที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด ทานได้เฉพาะผัก ผลไม้ ธัญพืชเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะระมัดระวังด้านอาหารแล้ว คนที่เป็นวีแกนยังไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์โดยอ้อม เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง ด้วยความเชื่อเรื่องการไม่เบียดเบียนสัตว์อีกด้วย อย่างไรก็ตามอาหารวีแกนไม่ได้ยกเว้นผักที่มีกลิ่นฉุนเหมือนผักต้องห้ามของอาหารเจแต่อย่างไร

ออแพร์ไทยอาจจะไม่ชิน เพราะคนไทยน้อยคนมากที่จะเป็นมังสวิรัติ บางคนคิดว่าเป็นข้อดี ถือเป็นการลดน้ำหนักไปในตัว แต่พออยู่ไปสักพักรู้สึกว่าไม่ไหว เพราะกินผักไม่อิ่ม ไม่อยู่ท้อง บางบ้านยืดหยุ่นหน่อย มีโปรตีนเกษตรให้ทาน (โปรตีนเกษตรที่อเมริการสชาติเหมือนเนื้อสัตว์เลย แถมยังมีสารพัดรูปแบบ อร่อยมาก) หรือบางบ้านอนุญาตให้ออแพร์ซื้อเนื้อสัตว์มาทำทานเองส่วนตัวได้


3. Organic food 

https://wellness.healthtian.com/wp-content/uploads/2013/05/Organic-Foods.jpg

อันนี้ไม่ใช่ข้อจำกัดอะไร เป็นแค่ไลฟ์สไตล์ของโฮสต์บางคนที่จะเลือกซื้อเฉพาะอาหารออแกนิกเท่านั้น เพราะดีต่อสุขภาพ เนื่องจากอาหารออแกนิกคืออาหารที่มีกระบวนการผลิตแบบธรรมชาติ ปลอดสารพิษ เช่น เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงในระบบเปิด นมวัวที่ได้มาจากแม่วัวที่ได้ฟังเพลงผ่อนคลายความเครียดทุกเช้า ผักผลไม้ที่ไม่มียาฆ่าแมลง เป็นต้น แต่ราคาจะสูงกว่าอาหารทั่วไปมาก หากบ้านไหนที่โฮสต์ซื้อแต่อาหารออร์แกนิกแล้วถือว่าโชคดีมากๆ เลย ไม่ใช่ว่าโฮสต์ทุกบ้านจะกินอาหารออแกร์นิกนะจ๊ะ

4. Keep Kosher 

คำว่า "kosher" (โคเชอร์) หมายถึง "เหมาะสม" หรือ "ยอมรับได้"  
อาหารโคเชอร์ คือมาตรฐานอาหารยิว (Jewish) หรือผู้นับถือศาสนายูดาย ซึ่งมีหลักคัชรูท (Kashrut) เป็นข้อกำหนดเรื่องอาหารที่กำหนดไว้ในคัมภีร์โตราห์ (Torah) ว่าสิ่งใดรับประทานได้/ไม่ได้ การเตรียมอาหารและรับประทานต้องทำอย่างไร คล้ายหลักการอาหารฮาลาล แต่มีข้อกำหนดยิบย่อยมากๆ ใครที่มีโฮสต์เป็นชาวยิวที่Keep kosherแบบเคร่งครัดก็จะลำบากหน่อย


หลักพื้นฐานของอาหารโคเชอร์ มีดังนี้


https://www.thespruceeats.com/thmb/Lwj-WmAOIa03wU76PkyPjkpdK1I=/1500x1000/filters:no_upscale():max_bytes(150000):strip_icc()/introduction-to-kosher-food-2122519_FINAL-5baa4282c9e77c00259399e2.png

1.  ✅เนื้อสัตว์ที่บริโภคได้ เช่น วัว แกะ แพะ กวางไบซัน ปลา ไก่ เป็ด ห่าน และไก่งวง ทั้งนี้สัตว์ดังกล่าวจะต้องฆ่าตามหลักของยิว
     ❌สัตว์ที่บริโภคไม่ได้ เช่น หมู กุ้ง ล๊อบสเตอร์ หอยนางรม หอยลาย ปู ไม่เป็นโคเชอร์
     ❌ห้ามบริโภคส่วนของสัตว์ เครื่องใน ไข่ นม หรือเลือดของสัตว์จำพวกนก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

2.  ✅ ผักและผลไม้ เป็นโคเชอร์ บริโภคได้ แต่ต้องตรวจสอบให้ดี 
     ❌ไม่ให้มีหนอนและแมลงมาตอม เพราะหนอนและแมลงไม่ใช่โคเชอร์

3.  เนื้อสัตว์ เนื้อวัว เนื้อไก่ ไม่สามารถบริโภคพร้อมผลิตภัณฑ์นมได้ เพราะจะมีผลต่อระบบการย่อย 
     ❌ปลาและไข่สามารถบริโภคด้วยกันได้ 
     ❌ห้ามปรุงและเสริฟเนื้อสัตว์และปลาด้วยกันด้วย
     ✅ อนุญาตให้รับประทานผลิตภัณฑ์นมกับไข่ด้วยกันได้

4.  ✅ ผลิตภัณฑ์องุ่นที่เป็นโคเชอร์ต้องผลิตโดยคนยิวเท่านั้น ดังนั้นจะห้ามดื่มไวน์และผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตที่ไม่ใช่คนยิว

5. ของใช้ ภาชนะต่างๆ รวมทั้ง หม้อ กระทะ จาน ช้อน ส้อม มีด และของที่ใช้ปรุงอาหารอื่นๆ ต้องเป็นโคเชอร์ด้วย 
     ❌ ถ้าใช้ปรุงอาหารที่เป็นเนื้อแล้ว ห้ามใช้กับผลิตภัณฑ์นม ถ้าภาชนะใช้กับผลิตภัณฑ์นมก็ห้ามนำไปใช้กับเนื้อ 
     ❌ถ้าภาชนะต่างๆ ใช้กับอาหารที่ไม่โคเชอร์แล้ว ห้ามใช้กับอาหารโคเชอร์อีก 
ซึ่งเป็นข้อกำหนดเฉพาะอาหารร้อน นอกจากนั้น ฟองน้ำ ผ้าเช็ดจาน เตา อ่างล้างจาน เครื่องล้างจาน ต้องแยกกันด้วย เป็นต้น



อาหารโคเชอร์จะมีตราสัญลักษณ์รับรอง ดังภาพ


https://www.godairyfree.org/wp-content/uploads/2006/05/Understanding-Kosher-Labels-Helpful-for-Dairy-Free-Living.jpg

จากประสบการณ์ที่เคยสัมผัสกับครูสอนภาษาอังกฤษชาวยิว และจากออแพร์หลายคนที่มีโฮสต์เป็นชาวยิวในอเมริกาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเคร่งครัดเท่าไร กินได้ทุกอย่าง ออแพร์ก็จะอิ่มหมีพีมันกันเลยทีเดียว เพราะเรื่องอาหารการกินชาวยิวเต็มที่มากๆ แถมยังมีงานเทศกาลเฉลิมฉลองบ่อยครั้ง แต่ถ้าเป็นบ้านที่เคร่งครัดถือว่าต้องปรับตัวอย่างมากเลยทีเดียว

https://images.heb.com/is/image/HEBGrocery/prd-small/morton-coarse-kosher-salt-001444915.jpg

เรารู้จักแต่ Kosher salt เห็นมีใช้ประกอบอาหารกันแทบทุกบ้านแม้ว่าจะไม่ได้เป็นชาวยิวก็ตาม ต่างจากเกลือทั่วไปคือมีเกล็ดที่ใหญ่กว่า เค็มน้อยกว่า และละลายตัวภายในระยะเวลาสั้น ๆ และรสสัมผัสก็ยังกระจายตัวเข้าไปในอาหารได้รวดเร็วด้วย


5. Halal

อาหารฮาลาล หรือเรียกง่ายๆ คืออาหารของชาวมุสลิม หรือกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ดูจะเป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นเคยสุดในบรรดาข้อจัดทางอาหารทั้งหมด เพราะเราเรียนรู้กันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าคนอิสลามไม่กินหมู จะกินเนื้อวัวแทน  


https://rainbowbeach.info/wp-content/uploads/2019/12/Halal-Food.jpg


อาหารมุสลิมต้องไม่ขัดต่อบัญญัติอิสลาม คือ ไม่มีส่วนผสมที่ต้องห้าม เช่น เนื้อหมู น้ำมันหมู หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากหมู รวมถึงเลือดสัตว์ไม่ว่าชนิดใด อาหารที่มาจากพืชที่มีพิษและเป็นอันตรายทุกชนิด และอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือมีส่วนประกอบที่เป็นอันตรายและ เป็นพิษ เป็นต้น

คำว่า “อาหารฮาลาล” หมายถึง อาหารที่ได้ผ่านกรรมวิธีในการทำ ผสม ปรุง ประกอบ หรือแปรสภาพ ตามบัญญัติอิสลามโดยคนที่จะปรุงอาหารประเภทนี้ต้องเป็นคนมุสลิมเท่านั้น และยังต้องมีวิธีการปรุงที่สะอาด ส่วนผสมก็ต้องสะอาด ไม่เน่า หรือไม่ส่อว่าอาจมีเชื้อโรค เพราะหลักการอิสลามอนุมัติให้มุสลิมบริโภคสิ่งที่ “อนุมัติ และสภาพดีมีคุณค่า” เช่น เนื้อสัตว์ต้องได้รับการเชือดโดยมุสลิม มีการกล่าวพระนามของพระผู้เป็นเจ้าขณะเชือด มีวิธีการเชือดถูกต้องตามหลักการอิสลาม เป็นต้น โดยสังเกตได้ที่เครื่องหมายฮาลาล

https://image.shutterstock.com/image-vector/halal-sign-design-certificate-tag-260nw-576779845.jpg


ตอนเป็นออแพร์อยู่ที่อเมริกา 2 ปี 

โชคดีที่เราและโฮสต์แฟมิลี่ไม่มีข้อจำกัดในการทานอาหารเลย ทานได้ทุกอย่าง ออร์แกนิกบ้างไม่ออแกร์นิกบ้างปนกันไป แต่สิ่งที่ถือเป็นอาหารแปลกๆ ที่เราได้กินครั้งแรกเลย คือ หอยสังข์ (Conch) อาหารขึ้นชื่อของหมู่เกาะบาฮาม่า

https://blog.madurodive.com/wp-content/uploads/2015/10/Optimized-IMG_2354.jpg

เพราะอยู่ฟลอริด้าอยู่ใกล้บาฮาม่า จึงมีหอยสังข์เยอะมาก เมนูยอดนิยมได้ แก่ Fried conch หอยสังข์ชุบแป้งทอด, conch salad, conch chowder ซุปมะเขือเทศหอยสังข์ เป็นต้น อร่อยดีนะ เนื้อออกหนึบๆ แต่พอกินเสร็จแล้วมาเดินริมหาดเห็นน้องอยู่ในกระดองก็สงสาร งื้ออออ


แถมท้าย 

ฝรั่งส่วนใหญ่จะไม่รับประทานปลาทั้งตัว ไม่ทานเป็ดและห่าน ไม่ทานเครื่องในสัตว์ ตีนไก่ คอไก่ ตูดไก่ เลือดสัตว์ รวมถึงอาหารกลิ่นแรงบางอย่าง เช่น กะปิ ชะอม ปลาร้า 

ถ้าจะทานก็จะทานปลาที่หั่นเป็นชิ้นเรียบร้อยแล้วมากกว่า เห็นฝรั่งหลายๆคนเลยที่แกะปลาไม่เป็น และตกใจเวลาเสิร์ฟปลาทั้งตัวให้ทาน รวมทั้งเวลาไปซื้อปลาที่โกรเซอรี่ คนขายส่วนใหญ่จะสับปลาเป็นชิ้นๆ ให้ ห้ามแทบไม่ทัน เพราะตั้งใจจะเอาไปทอด/นึ่งทั้งตัว
ส่วนเครื่องในสัตว์เขามองว่าไม่ใช่อาหาร ไม่น่ารับประทาน จะแตกต่างจากคนเอเชียและตะวันออกกลางที่คุ้นเคยดีกับการทานสัตว์ทั้งตัวไม่เว้นแม้แต่อวัยวะภายในของสัตว์ < แต่ก็มีโฮสต์บางบ้านที่ไม่ถือ อยากลองทานทุกอย่างที่ออแพร์ทำให้โดยไม่รังเกียจ อย่างน้องออแพร์ที่รู้จักก็สรรหาวัตถุดิบจากเอเชียนมาร์เก็ตไปทำอาหารแปลกๆใหม่ๆให้โฮสต์ทาน เช่น แกงส้มไข่ปลา, ต้มยำตีนไก่ โฮสต์ก็บอกว่าอร่อยดี โฮสต์เคยถามด้วยว่าปกติเรากินแมลงมั้ย เพราะโฮสต์มองว่ามันน่ากลัว แต่คนไทยกินเป็นปกติ ขนาดตั๊กแกนปาทังก้า หรือปลาช็อคเกอร์ที่เคยเป็นปัญหาทำลายระบบนิเวศของไทย คนไทยยังจับกินเรียบไม่พอแถมยังสั่งนำเข้าจากต่างประเทศอีก อยากให้โฮสต์มาลองที่เมืองไทยจัง 55




แหล่งอ้างอิงข้อมูล







วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2563

ประสบการณ์การเป็นออแพร์กับโฮสต์เปอร์เซีย

สวัสดีค่ะ หายหน้ากันไปนานเลย แบบว่าจบโครงการออแพร์ในอเมริกามาจะครบ 1 ปีแล้ว เดี่ยวนี้โลกก็หมุนไปเร็วมาก จนไม่รู้จะเขียนอะไรเกี่ยวกับออแพร์แล้ว เพราะข้อมูลไม่อัพเดท

ตามสัญญา วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์การเป็นออแพร์กับโฮสต์เปอร์เซีย 2 ปีเต็ม
โดยปีแรก โฮสต์พ่อเป็นชาวเปอร์เซียเกิดที่อิหร่าน แต่ไปเติบโตที่แคนาดา และย้ายมาอยู่อเมริกาตอนโตแล้ว ส่วนโฮสต์แม่เป็นยุโรปค่ะ

ส่วนปีที่สอง โฮสต์อีกบ้าน เป็นชาวเปอร์เซียเกิดที่อิหร่านทั้งคู่ คนแม่ย้ายไปอยู่แคนาดาตั้งแต่เด็กๆเลย และย้ายมาอเมริกาตอนโตแล้ว ส่วนคนพ่อคือเกิดและเติบโตที่อิหร่านเลย แล้วค่อยมาอยู่อเมริกาตอนได้ทุนแลกเปลี่ยนเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง


ก่อนอื่นมาทำความรู้จัก "ชาวเปอร์เซีย" กันก่อน

ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ชาวเปอร์เซีย ปัจจุบันคือชาวอิหร่านเท่านั้น แต่ถ้านับเอาอาณาจักรเปอร์เซีย ยุคโบราณ นอกจากพื้นที่ตุรกี อียิปต์แล้ว ยังกินอาณาเขตเข้าไปในยุโรป อีกนิดหน่อย

พูดให้ง่ายๆ เห็นภาพชัดเจน ชาวเปอร์เซียก็คือแขกขาวนั่นเอง (ในสมัยโบราณจะใช้คำว่า แขกเทศ) ส่วนใหญ่จะมีผิวขาว หรือคล้ำเล็กน้อยคล้ายๆ ผิวคนไทย หน้าตาคมเข้ม จมูกโด่ง ที่สำคัญผมดก ขนดกมาก ขนาดโฮสต์คิดส์ที่เราเลี้ยงเกิดมาก็ผมเต็มหัว ขนคิ้วหนาเตอะ แล้วส่วนใหญ่ชาวเปอร์เซียจะมียีนผมหยัก ไม่ค่อยเจอใครผมตรง แล้วก็มีบางคนผมสีทอง หน้าตาไปทางคนยุโรป อย่างโฮสต์แม่บ้านที่สองของเรา (เพราะอย่างที่บอกไปว่า เปอร์เซียโบราณมีอาณาเขตครอบคลุมไปถึงยุโรปด้วย ก็เลยได้ยีนผมสีทองมา แต่บางคนก็จะหน้าตาออกไปแนวแขกอินเดีย


ชาวเปอร์เซีย ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็หล่อ ยืมรูปมาจากละครบุพเพสันนิวาส และเว็บ https://th.phoneky.com/wallpapers/

ด้วยความเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองในอดีต จึงมีทั้งภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นของตนเอง โดยชาวเปอร์เซียจะพูดภาษาฟาร์ซี (Farsi) ไม่ใช่ภาษาเปอร์เซียนนะ หลังจากที่อยู่บ้านโฮสต์เปอร์เซียมา 2 ปี ได้ภาษาฟาร์ซีมาไม่กี่คำ เช่นคำว่า Salaam (อ่านว่า ซาลอม ลากเสียงยาวหน่อย) แปลว่า สวัสดี เวลาทักทายกันก็จะจับมือหรือสวมกอดกัน พร้อมกับชนแก้มกันขวา-ซ้าย บางครอบครัวก็ชนแก้มกันสามรอบ ขวา-ซ้าย-ขวา

คำว่าขอบคุณ คือ Mersi (อ่านว่า เมอซี/ เมิสซี) 

ส่วนคำว่า Joon (จูน) แปลว่าที่รัก ใช้ต่อท้ายชื่อคน


และก็มีตัวอักษรเป็นของตัวเองด้วย โดยจะมีลักษณะเป็นเส้นและจุด คล้ายตัวอักษรในภาษาอาหรับ
แต่โฮสต์บอกว่าคนอิหร่านทุกคนไม่ใช่ชาวเปอร์เซียนะ เพราะมีทั้งชาวอาร์เมเนีย ชาวอาหรับ ฯลฯ หลายประเภทมาก และภาษา/ตัวอักษรก็แตกต่างกันไป อาจจะมีบางคำที่เหมือนกัน แต่จังหวะการพูด ชาวเปอร์เซียจะชอบพูดแบบลากคำ (เสียงยาน) กว่า ซอฟต์กว่า (อันนี้โฮสต์บอกมา เราเองยังแยกไม่ออก)


ส่วนทางศาสนา ชาวเปอร์เซียจะนับถือลัทธิ โซโรอัสเตอร์ หรืออิสลาม โซโรอัสเตอร์ โดยจะเน้นความเรียบง่าย และบูชาไฟ กินหมูได้จ้า

มีวันปีใหม่เป็นของตนเอง โดยในแต่ละปีจะแตกต่างกันไปไม่ตรงวัน เพราะไม่ได้ใช้ปฏิทินสุริยคติเหมือนปฏิทินสากล แต่จะอยู่ช่วงประมาณ 20 หรือ 21 มีนาคม และมีการนับศักราชของตนเอง โดยจะเรียกวันปีใหม่ว่า โนรูส (Nowruz) โดย No มีความหมายว่า ใหม่ และ rouz แปลว่า วัน เป็นงานเฉลิมฉลองวันแรก
ของเดือนแรกในปฏิทินอิหร่าน และตรงกับวันวสันตวิษุวัต (ฤดูฝน) พอดี 

โดยวันปีใหม่เปอร์เซียนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ การเริ่มต้นใหม่ และการถือกำเนิดใหม่ของธรรมชาติ โดยในคืนก่อนวันปีใหม่จะมีการตั้งโต๊ะบูชา (คล้ายเทศกาลสารทไทย สารทจีน) โดยมีของมงคลที่มีความหมายวางบนโต๊ะ และจุดเทียนตามฤกษ์ โดยดูแลไม่ให้เทียนดับ จนเข้าสู้วันปีใหม่

https://media.npr.org/assets/img/2016/03/20/nowruz-turmericsaffron_new-79a80147865e225587877aee6ddb7f82f8b64ef1-s1600-c85.jpg
บนโต๊ะจะมีของที่มีความหมายมงคล เช่น หญ้า หมายถึงความเจริญงอกงาม ชีวิตใหม่, ไข่ หมายถึง การถือกำเนิด (เหมือนเทศกาลอีสเตอร์), ปลาทองในโหลแก้ว เปรียบเสมือน ชีวิต, กระจก สะท้อนถึงอดีต และสิ่งชั่วร้าย, ขนมหวานของชาวเปอร์เซียที่ทำจากน้ำตาลและถั่ว, แอ้ปเปิ้ล, และบางบ้านก็จะวางเหรียญและเงินไว้ด้วย เพื่อขอให้ปีใหม่ร่ำรวย เป็นต้น

ที่ตลกคือ โฮสต์เล่าว่ามีปีนึงซื้อโหลใส่ปลาทองมาเพื่อวันปีใหม่ แต่โหลเตี้ยไป หลังจากปีใหม่ไม่นานปลาทองก็กระโดดออกจากโหลมาตาย ปีนี้เลยต้องซื้อปลาทองมาใหม่ 

ไฮไลท์ของวันปีใหม่คือ มีการแจกแต๊ะเอีย โดยคนที่อาวุโสที่สุดในบ้าน นั่นคือโฮสต์พ่อนั่นเอง ชอบจังเทศกาลนี้ 5555  การเฉลิมฉลองยังไม่จบแค่นี้ เมื่อถึงวันที่ 13 ของปีใหม่เปอร์เซีย จะเป็นวันออกจากบ้าน คือทุกคนจะออกจากบ้านเพื่อไปรวมตัวกับเพื่อนๆ และครอบครัว โดยจะพบว่าในสวนสาธารณะเต็มไปด้วยชาวเปอร์เซียมาตั้งแคมป์ ปิ้งบาร์บีคิว ทานอาหารและร้องเพลง เต้นรำร่วมกัน และจะนำหญ้าที่ตั้งไว้บนโต๊ะบูชาไปโยนทิ้งในแหล่งน้ำธรรมชาติด้วย (ห้ามเก็บไว้) 


เรื่องอาหารการกิน 

ชาวเปอร์เซียรับประทานข้าวเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะนิยมทานข้าวBasmati ของอินเดีย คือเป็นเม็ดรีๆยาวๆ บางครั้งก็มีการใส่ใบdrill ธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่ว ลูกเกด และเครื่องเทศลงไป เช่น Saffron ทำให้ข้าวมีสีสันน่ารับประทาน โดยจะทานคู่กับKebab, แกงหรือสตูว์ (ซึ่งมีลักษณะคล้ายแกงอินเดีย คือมีส่วนผสมของถั่ว แต่ไม่มีกลิ่นฉุน และไม่เผ็ด), สลัดที่โรยเฟต้าชีส, และโยเกิร์ต (เป็นโยเกิร์ตรสเค็ม ไม่ใช่โยเกิร์ตผลไม้) และจะนิยมรับประทานเนื้อแกะ ชีวิตนี้ก็เพิ่งเคยกินโยเกิร์ตกับข้าวเป็นครั้งแรกนี่แหละ บอกเลยว่าอาหารเปอร์เซียอร่อยมากนะ แต่ไม่เผ็ดเลย

https://irandoostan.com/dostcont/uploads/2017/11/Travel-to-Iran-Iran-tours-Gheymeh-Nesar.jpg


https://www.destinationiran.com/wp-content/uploads/2011/01/Iranian-Food-Restaurants.jpg

วิธีการหุงข้าวของชาวเปอร์เซียก็จะมีวิธีเฉพาะ คล้ายการ "ย่างข้าว" โดยทาน้ำมันบางๆ ไว้ที่ก้อนหม้อและหุงจนข้าวก้นหม้อกรอบ บางครั้งก็ไหม้เกรียมไปเลย กลายเป็น Crispy rice  บางครั้งก็จะฝานมันฝรั่งบางๆ วางลงไปที่ก้อนหม้อก่อนใส่ข้าวลงไปหุงด้วย เรียกว่า Tahdig หรือบางครั้งก็ใช้ขนมปังเปอร์เซียนใส่ลงไปแทนมันฝรั่ง อร่อยดี เป็นของโปรดของเราเลย

https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEh-KEXLDDClwWUy2IBJONZGm7moQYAbgYe5aS_BsgPJsr4QtwFEvdM7T5iVQfoR2ucUH_YI6JvzfpnEQoX-ocncFwYn6v44u6JqlN1k8HvBZy8FnARtIL041BvF0Pg3HhVI4zmnuhTHA4Z8sICah6qD4lLaR6A5Xqs0i5hQONuT0A3FJrYZP4lKU0coSkJTKv4oKwQ9CSlb=


ที่เราชอบกินอีกอย่างหนึ่งคือ ขนมปังของชาวเปอร์เซีย อร่อยมาก ทำมาจากข้าวบาร์เล่ย์ มีหลายแบบ แบบโรยงา แบบบางกรอบ แบบคล้ายๆ แป้งตอร์ติญญ่า 

https://www.tappersia.com/wp-content/uploads/2020/01/nan55.jpg


เคยไปที่Persian market เห็นเค้าอบขนมปังร้อนๆ แผ่นเบอเร่อ ทุกคนจะซื้อแล้วมาตัดๆ เป็นชิ้นเท่าฝ่ามือ และแช่ตู้เย็นเก็บไว้ บางทีก็จะกินคู่กับข้าวและเคบับ หรือว่าบางทีก็กินเป็นอาหารเช้า โดยทาเฟต้าชีสและราดน้ำผึ้ง อร่อยมากๆ 

https://c8.alamy.com/comp/K6KG6A/fars-province-shiraz-iran-18-april-2017-shop-at-the-bakery-the-baker-K6KG6A.jpg


https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn%3AANd9GcT4e8_RIieh8QP_vlfGdnzLNegR-D9c8tQb-WSOUCefpksurfTi&usqp=CAU

ส่วนขนมหวานของชาวเปอร์เซีย วัตถุดิบส่วนใหญ่ทำมาจากถั่วชนิดต่างๆ โดยเฉพาะพิตาชิโอ้ ไม่ใส่แป้งเลย มีรสชาติหวานๆ ถือว่าเป็นขนมที่เฮลตี้ต่อสุขภาพ แต่เราไม่ค่อยชอบเท่าไร กินแล้วไม่ละมุน หวานปะแล่มๆ มีอันที่เราชอบอยู่ไม่กี่อย่าง แต่จำชื่อไม่ได้แล้ว และทานคู่กับน้ำชาของเปอร์เซีย ซึ่งหอมมาก และไม่หวานเลย ไม่มีคาเฟอีนด้วย กินแล้วบำรุงสุขภาพและผ่อนคลาย

https://i.pinimg.com/originals/f1/6e/bb/f16ebb0f159fbf4a3ae6a54fbf167aef.jpg


นิสัยเฮลตี้อีกอย่างของชาวเปอร์เซียคือ ชอบทานผลไม้มาก ทุกๆ บ้านจะมีตะกร้าใส่ผลไม้สด พร้อมมีดเล่มเล็กและจานวางไว้ เวลาแขกมาบ้านก็จะแจกมีดกับจานให้คนละชุด และก็ปอกผลไม้กินกันเองเลย กินทีเยอะด้วย นอกจากผลไม้ ก็จะมีแตงกวาวางไว้ในตะกร้าให้ด้วย กัดกินกันสดๆเลย


สำหรับวัฒนธรรมที่เรารู้สึกแปลกๆ ไม่เหมือนใครคือเวลาเชิญแขกชาวเปอร์เซียมารับประทานอาหารร่วมกันที่บ้าน หลังทานอาหารเสร็จผู้ชายก็จะแยกกันไปคุยเม้าท์มอยกับผู้ชาย ส่วนผู้หญิงก็จะจับกลุ่มเม้าท์มอยกับผู้หญิง 

มาถึงเรื่องที่ทุกคนอยากรู้ ลักษณะนิสัยของชาวเปอร์เซีย


** ขอบอกก่อนว่าบทความนี้ไม่ได้มีเจตนาเขียนเพื่อสร้างความแตกแยก หรือดูหมิ่น หรือracist ใครค่ะ แต่เขียนจากความรู้สึกและประสบการณ์ของเราตลอด2 ปีในอเมริกาเองเพียงฝ่ายเดียว บางเรื่องอาจจะไม่จริงสำหรับใครบางคน และชาวเปอร์เซียทุกคนไม่ได้เป็นอย่างที่เราเจอทุกคนค่ะ อาจมีการใช้คำที่ไม่สุภาพแต่เป็นไปเพียงเพื่ออรรถรสและให้เห็นภาพชัดเจนเท่านั้นค่ะ**

ลักษณะนิสัยของโฮสต์เปอร์เซียที่เราได้พบเจอ เราว่าคล้ายๆ คนเอเชีย

1. จะเป็นพวกชอบพูดคุย ช่างซักช่างถาม 

2. ชอบเต้นรำ ชอบเสียงดนตรี ทั้งผู้หญิงผู้ชาย

3. สังคมผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้ชายเปอร์เซียไม่ค่อยทำอะไร มีหน้าที่ทำงานหาเงินดูแลครอบครัว แต่ก็แล้วแต่คนด้วย เพราะบางคนก็ทำงานบ้าน ทำอาหารได้ แต่บางคนไม่แตะงานบ้านเลย และเจ้าอารมณ์มากๆ เวลาทะเลาะกันชอบตะคอกใส่เสียงดังลั่นบ้าน ไม่ค่อยจะขอโทษก่อน ทิฏฐิสูง

4. รักครอบครัวตัวเองมาก ถึงแม้จะบอกว่าtreats au pair like part of family แต่แตกต่างจากโฮสต์ปู่ย่า ตายายมาก ที่จะเอ็นดูเรา รักเรามาก อารมณ์เหมือนเมืองไทย ที่คนแก่มักจะเอ็นดูเด็ก ยิ่งถ้ามีสัมมาคารวะ ดูแลหลานเค้าดียิ่งรักตายเลย เวลาอยู่กับโฮสต์ปู่ย่าตายายก็จะมีอาหารอร่อยๆ ให้ทานเหลือเฟือ ขนาดเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ในปากก็ยังจะบ่นว่าเราไม่ยอมกินเลย ตักใส่จานเราแทบกินไม่ทัน


5. ค่อนข้างขี้เหนียว ถ้าเทียบกับฝรั่งที่มีค่าเงินสูงกว่า อันนี้เราวิเคราะห์เอง เนื่องจากประเทศอิหร่านประสบปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจ มีการคอรัปชั่นและสงครามกลางเมือง ครอบครัวที่มีอันจะกินก็พากันอพยพออกนอกประเทศ ส่วนใหญ่ก็อพยพไปแคนาดากัน ค่าเงินของอิหร่าน 1 rial = $0.000024 อารมณ์เหมือนเงินบาทไทยVSเงินกีบลาว ถึงแม้ว่าครอบครัวโฮสต์จะรวยและไปเติบโตที่แคนาดา แต่ช่วงที่อพยพก็มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากอยู่บ้าง ทั้งการปรับตัวด้านภาษา ความเป็นอยู่ และชาวเปอร์เซียชอบอยู่ด้วยกันเองเป็นสังคมคนเปอร์เซีย การเลี้ยงดูวัฒนธรรมธรรมเนียมต่างๆ ก็ได้รับการถ่ายทอดมาอย่างเข้มข้น

จบไปแล้วกับเรื่องราวประสบการณ์การเป็นออแพร์ให้โฮสต์เปอร์เซีย ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามาก ช่วยให้เราเปิดโลกมากขึ้น ได้รู้จักชาวเปอร์เซีย ได้เรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ได้ลองทานอาหารรสชาติใหม่ๆ ที่ถ้าอยู่เมืองไทยคงไม่รู้จัก


แหล่งอ้างอิงข้อมูล http://anyflip.com/codsc/mdjg/basic/51-66







วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2563

รวมคำถาม-คำตอบ inbox จากลูกเพจ ปี2019



Q1: สนใจค่ะ ขอรายละเอียดได้ไหมคะ?
A: สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่สนใจในเนื้อหาของเพจนะคะ ขอแจ้งว่าทางเพจนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่บทความที่เขียนขึ้นเกี่ยวกับชีวิตออแพร์ในอเมริกา ไม่ได้มีส่วนในการจัดหาออแพร์มาอเมริกาค่ะ

ทางเพจแนะนำได้แค่ขั้นตอนการเป็นออแพร์ในอเมริกาค่ะ สนใจอ่านต่อที่ลิ้งค์นี้เลยนะคะ https://aupairniceinusa.blogspot.com/2018/04/howtobecomeaupair.html?m=1


Q2: อยากทราบว่า การเก็บชั่วโมงนี่ต้องได้ใบรับรองหรือ อะไรยังไงไหมคะ?
A: แต่ละเอเจนซี่จะให้ใบสำหรับเขียนรับรองประสบการณ์ดูแลเด็กมาให้ค่ะ ซึ่งแบ่งเป็นประสบการณ์แบบเป็นทางการ เช่น เป็นครู เป็นพยาบาล เรียนจิตวิทยาเด็กโดยตรง เคยฝึกงานที่เนิร์สเซอรี่ ฯลฯ อีกแบบนึงคือประสบการณ์แบบไม่เป็นทางการ เช่น เคยเลี้ยงน้อง เลี้ยงลูกให้พี่สาว ให้ญาติ ให้เพื่อน เป็นต้น ก็เอาใบที่เอเจนซี่แจกไปให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเขียนรับรองให้ค่ะ เช่นอาจารย์ที่เคยสอนตอนเรียนพยาบาล เพื่อนร่วมงาน เจ้าของเนิร์สเซอรี่ หรือแม่ของเด็กที่เราเลี้ยงให้ ฯลฯ




Q3: ช่วยแนะนำฝึกภาษาอังกฤษให้หน่อยคะ ว่าควรจะต้องลงอะไร?
คำง่ายๆของเด็กป.5ยังอ่านไม่ออกเลยคะ พึ่งมาได้5เดือนคะ ภาษายังไม่ค่อบไปถึงไหนเลย
ตอนนี้ก็ลง ESL class อยู่คะ แต่แบบอยากได้แบบเจาะจง สะกดคำ แล้วก้อเขียนให้ออกคะ

A: จริงๆมีหลายวิธีเลยแล้วแต่ว่าชอบอะไร อย่างแอดไม่ชอบดูหนังฟังเพลง แอดชอบอ่านหนังสือ เริ่มจากหนังสือเด็กเลย เล่มบางๆหน้านึงมีอยู่ไม่กี่ประโยค
ที่บ้านมีหนังสือเยอะไหมคะ แอดชอบเอาหนังสือมาอ่านกับน้อง แล้วก็เรียนคำศัพท์ไปด้วย พวกสัตว์ต่างๆ ฟาร์ม อาชีพ ห้องสมุดจะมีโซนหนังสือเด็กค่า

มันใช้เวลาค่า จุดสำคัญคือความสม่ำเสมอ ไม่ต้องรีบร้อน
แต่ถ้าจะเอาศัพท์ระดับสูงขึ้นมาหน่อยที่เจอบ่อยๆ โหลดชีท4หน้าของคุณครูสมศรีมาท่องค่ะ มีsynonym ให้ด้วย เวลาจำๆเป็นคู่
แอดลงesl 2class แล้วก็ลง grammar&writing กับ Toefl preparation
ตอนเย็นแอดก็ไปเรียนeslฟรีที่ห้องสมุดค่า

ถ้าไม่รุ่ศัพท์ ไม่ต้องอายที่จะถามนะคะ แอดถามตลอดเลย สะกดให้หน่อย
จริงๆมีeslฟรีทุกห้องสมุดเลย แล้วก็บางโบสถ์

อีกอย่างนึง เวลาจำศัพท์ ให้ดูว่าชนิดของคำด้วยว่าเป็นคำนามทกริยา adj แล้วก็ดูตัวอย่างประโยคด้วยนะ  หรือลองโหลดเกมที่ฝึกจำศัพท์มาเล่น จะได้ไม่เบื่อ

แนะนำหนังสือvocabอีกเล่มที่แอดชอบ

Oxford picture dictionary ค่ะ จะแบ่งศัพท์เป็นหมวดๆ ตั้งแต่เบสิคเลย พร้อมรูปภาพประกอบ จำง่าย น่าอ่าน มีเล่มที่เป็นแบบฝึกหัดให้เติมศัพท์ลงในรูปด้วยค่ะ ลองดู ในเน็ตมีให้โหลดฟรี หรือยืมห้องสมุด ซื้อในแอมะซอนก็ได้ค่ะ มันมีหลายเวอร์ชั่น ลองเลือกดูนะคะ

ของทุกอย่างใช้เวลา ค่อยๆเป็นค่อยๆไป พยายามฝึกสม่ำเสมอ สู้ๆค่ะ

Q4: มีเอเจนซี่ไหนแนะนำมั้ยคะ?
A: https://aupairniceinusa.blogspot.com/2017/04/agency.html?m=1 นี่เป็นรายชื่อเอเจนซี่ที่มีในไทยทั้งหมดตอนนี้นะคะ  แอดไม่แนะนำเอเจนซี่ไหนเป็นพิเศษเพราะแอดไม่ได้ค่าโฆษณา 55


รวมโปรโมชั่นแต่ละเอเจนซี่  https://www.facebook.com/aupairniceinusa/photos/a.482805425584890/615737782291653/?type=3&theater ดูที่คอมเม้นต์ใต้โพสต์ได้เลยค่ะ


Q5: มีญาติอยู่ที่อเมริกา ไปได้ไหม?
A: จริงๆถ้ามีญาติแต่ไม่เคยไปหามาก่อน เป็น ญาติไม่สนิทก็ไม่เป็นไรนะ  ก็บอกไปว่าไม่มีญาติ ไม่รู้จัก คนนามสกุลซ้ำกันมีเยอะแยะ


Q6: เรื่องเรียน คือเราเลือกเรียนอะไรก็ได้หรอคะ?
A: เรียนอะไรก็ได้ตามที่สนใจเลยค่า แต่ตามกฏโฮสจะให้แค่ $500 ถ้าเกินจากนี้ออแพร์ต้องออกเอง ยกเว้นโฮสบางบ้านใจดีก็จะออกให้ค่ะ ต้องเรียนให้ครบ 6 หน่วยกิต ราคาถูกแพงแล้วแต่ว่าอยุ่รัฐไหนและลงเรียนคลาสอะไร เพราะค่าครองชีพแต่ละรัฐไม่เท่ากัน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม วิธีการหาคอร์สเรียนสำหรับออแพร์ได้ที่นี่ https://aupairniceinusa.blogspot.com/2017/06/aupaireducation.html




Q7: สอบถามหน่อยได้ไหมคะ พอดีกำลังจะทำเรื่องไปออแพร์ ของCultural Care เลยอยากทราบว่า เอเจนนี้เวลาบินใช้สายการบินอะไรคะ ? ขอบคุณค่าา

A: เท่าที่ทราบนะ เขาจะไม่ได้เจาะจงสายการบินว่าต้องสายการบินไหน ขึ้นอยู่กับเวลาบินมากกว่า คือที่นี่จะมีปฐมนิเทศวันจันทร์สัปดาห์แรกก่อนเข้าบ้านโฮสต์ เขาก็จะจองสายการบินที่บินไปถึงวันจันทร์เช้าให้ แอดได้นั่งQuarta แต่ก็มีเพื่อนได้นั่งChina, Japan ฯลฯ หลากหลายเลยค่ะ

Q8: พอดีเราสมัครกับเพื่อนล้วถ้าเพื่อนได้แมชก่อน อย่างนี้จะได้บินก่อนไหม?
พอดีอยากบินพร้อมเพื่อนอ่ะค่ะ

A: ขึ้นอยู่กับว่าโฮสต์อยากได้ออแพร์ช่วงไหน แล้วออแพร์สะดวกตรงกันไหม
บางคนแมตช์แล้วบินในเดือนเดียวเลย บางคนแมตช์แล้วรอสามสี่เดือนค่อยบิน

Q9: วัดระดับภาษา หลังสัมมนายากไหมคะ ต้องไปติวเรื่องอะไรเป็นพิเศษไหมคะ ?
A: ที่จริงเราไม่ได้เก่งอังกฤษอะไรโดยเฉพาะฟังพูด ได้แค่อ่าน แต่อันนี้คิดว่าไม่ยากเพราะคนสัมภาษณ์คือคนไทย สำเนียงไทยมาก ฟังออกแน่นอน แล้วคำถามก็จะวนอยู่ไม่กี่อย่าง ลองคิดคำตอบไปก่อน พี่เค้าไม่ได้ต้องการคนพูดเก่งอะไรมาก แค่ตอบตรงคำถาม อธิบายดีเทลได้บ้าง(ไม่ใช่ถามคำตอบคำ)
จะมียากหน่อยตรงคำถามสถานการณ์ พอดีแอดโดนไม่ยาก เช่น เด็กทารกร้องไห้ทำยังไง


ลองศึกษาดูในลิ้งค์นี้นะคะ https://aupairniceinusa.blogspot.com/2018/04/howtobecomeaupair.html?m=1

Q10: น้องอยู่คุ้มใหนดงมะไฟจ้าลูกเพอน้อ
A: ??????????? งงมาก ใครก็ได้ช่วยแอดมินที

Q11: อยากสอบถามเรื่องไปออแพร์อ่า ตัวเองไปของเอเจ้นอะไรหรอ ?
A: Culturalcareจ้า

Q12: อยากถามประสบการณ์แอดมินตอนสัมภาษณ์โฮสค่ะ
คือสัมภาษณ์มา 5 บ้านแล้ว วิว 8 บ้าน ไม่ได้ซักบ้าน แล้วเหมือนที่กำลังจะได้เราก็ไม่อยากได้

A: ไม่เป็นไรค่ะ ค่อยๆเลือกไปอย่ารีบร้อน ไม่เป็นไรนะคะ ถือว่าเค้ายังไม่ใช่
ตอนนั้นแอดก็เป็นเหมือนกัน
ไม่ใช่เราไม่ดี แต่บางครั้งด้วยเวลาที่ไม่พอดี บุคลิก ความชอบ หลายๆอย่าง ครั้งต่อไปก็พยายามpresentข้อดีของตัวเอง แสดงว่าเราอยากไปเลี้ยงลูกเค้าจริงๆ
 แต่ต้องพยายามเปิดใจ ให้โอกาสตัวเองได้คุย 
เข้าใจว่าตอนหาโฮสมันรู้สึกนานมากก เมื่อไรจะได้แมช แอดก็เป็น แต่ก็ดีกว่ารีบแมชแล้วได้โฮสไม่ดีนะ ค่อยๆคุยไป 
สู้ๆนะ เดี๋ยวโฮสที่ใช่ก็จะมาเอง

Q13: ดีจังที่ได้ไป อิจฉา
A: ก็ดีที่ได้ไป แต่ถ้าไม่ได้ไปก็ใช่ว่าจะไม่ดี ชีวิตออแพร์ไม่ได้สวยหรูเสมอไป

Q14: ไปออแพร์อเมริกายากไหมคะ เดี๋ยวนี้เข้มงวดมาก ไม่ผ่านวีซ่าเยอะเลย
A: ก็มีคนได้ไปเรื่อยๆอยู่นะ แค่ไม่เยอะเท่าเมื่อก่อน
ลูกเพจคนนึงก็เพิ่งบินไปอาทิตย์ที่แล้วทักมาคุย เป็นกำลังใจให้ค่า

Q15: อยากไปออแพร์ อเมริกาค่ะแต่ไม่เก่งภาษาเลยค่ะ อายุก็กำลัง 25 ค่ะ แบบนี้มีโอกาสได้ไปมั้ยคะ มีอะไรแนะนำมั้ยคะ

A: ไม่เก่งคือแค่ไหนคะ ฟัง-ตอบคำถามในชีวิตประจำวันพอได้มั้ยคะ
คือต้องผ่านการวัดระดับภาษาอังกฤษจากเอเจนซี่ก่อนค่ะว่าเราพอไหวไหม ไม่ต้องเก่งมาก เน้นสื่อสารรู้เรื่อง เพราะการไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นและดูแลลูกให้เค้าจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษค่ะ เป็นเรื่องของความปลอดภัยด้วย
ถ้ายังไงลองติดต่อเอเจ้นซี่ดุก่อนนะคะ

แล้วก็ฝึกฟังเพลง ดูวิดีโอ ฝึกพูดประโยคในชีวิตประจำวันไว้ค่ะ
สู้ๆนะคะ ขอให้โชคดี
แอดก็ไม่ได้เก่งภาษามากค่ะก่อนไป แต่พอฟังตอบคำถามง่ายๆได้ ประโยคสั้นๆ

Q16: อยากไปออแพร์อเมริกาต้องมีอะไรบ้างคะ

A: คุณสมบัติผู้สมัครออแพร์  https://aupairniceinusa.blogspot.com/2018/03/qualification.html





Q17: พี่คะ โครงการนี้ไปได้ยังไงคะ?
A: สมัครผ่านเอเจนซี่ค่า https://aupairniceinusa.blogspot.com/2017/04/agency.html?m=1 นี่เป็นรายชื่อเอเจนซี่ที่มีในไทยทั้งหมดตอนนี้นะคะ

Q18: รบกวนปรึกษาเรื่องการจ่ายภาษีค่ะ 
พอดีไปเป็นออแพร์ระหว่าง สิงหา 2017 สิงหา 2018 แล้วไม่เคยยื่นภาษีเลยถามคนอื่นก้บอกว่าไม่ต้องอยู่ไม่ครบปีภาษี ถามโฮส โฮสก้บอกว่ายูเงินไม่ถึงไม่ต้องยื่นก้ได้ จนมาถึงตอนนี้ ถ้าอยากยื่นย้อนหลังจะต้องทำยังไงคะ รบกวนแนะนำด้วยค่ะ

มันจะมีผลตอนขอวีซ่าใช่มั้ยคะ กำลังจะขอวีซ่าท่องเที่ยวค่ะ ไม่รู้จะผ่านป่าว

A: ถ้ายื่นย้อนหลังไม่ทราบเลยค่ะ ต้องติดต่อ IRS โดยตรง
แต่ไม่มีผลต่อวีซ่าจ้า ส่วนใหญ่จะมีผลกับคนที่แต่งงานแล้วบ้ายไปอยู่ที่นั่น เค้าจะเช็คประวัติ ถ้าเค้าเช็คเจอก็จะต้องจ่ายภาษีย้อนหลังและโดนค่าปรับค่ะ

Q19: ค่าโครงการรวมทั้งหมดประมานเท่าไหร่คะ

A: ประมาณคร่าวๆประมาณ50,000ค่า (อาจมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้แล้วแต่แต่ละเอเจ้นซี่ค่ะ)



Q20: ขอทราบรายละเอียดสถานที่เลี้ยงเด็กของ จังหวัดเชียงใหม่หน่อยได้มั้ยคะ

A: น้องมีเอเจนซี่ยังคะ บางเอเจ้นเค้าจะเป็นpartnerกับพวกnursery ให้ออแพร์ไปเก็บชมได้ หรือมีแนะนำที่ๆออแพร์ในสังกัดชอบไปเก็บชม.แล้วมาแชร์

ถ้าหาเองน้องลองเสิชพวกnursery หรือพวกสถานรับเลี้ยงเด็กแถวบ้าน แล้วโทรไปถาม แล้วเอาจดหมายจากออเจ้นซี่/ทำจดหมายเองก็ได้ค่ะ แบบแนะนำตัวแล้วก็วัตถุประสงค์ของการมาสมัครดูแลเด็ก แนบสำเนาบัตรปชช เป็นต้น

หรือไปทำอาสาสมัครก็ได้นะคะ ตามรร.หรือสถานสงเคราะห์ ลองโทรไปถามก่อนอ่าจ้า

มีคนแนะนำมาว่าแถวมช., connie’s House, Kido, Egg tots house, Super kids, Little start kiddergarten, 
ลานนาเบบี้โฮม, Hana Christian kindergarten ฯลฯ ลองหาข้อมูลดูนะคะ


Q21: ต้องพูดอังกิดเก่งมากมั้ย กว่าจะไปออแพร์ได้
A: ไม่จำเป็นต้องเก่งภาษาอังกฤษค่า แค่พอสื่อสารได้ ถามตอบคำถามในชีวิตประจำวันได้ เพราะก่อนสัมภาษณ์แต่ละเอเจนซี่จะมีการสัมภาษณ์ทดสอบระดับภาษาอังกฤษก่อน การออนไลน์หาโฮสก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษ และด่านสุดท้ายคือการสัมภาษณ์วีซ่าค่า

การไปทำงานในอเมริกาต้องใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน เขาต้องแน่ใจว่าเราจะไปอยู่ได้
ถ้าด่านแรกสัมภาษณ์กับเอเจนซี่แล้วเค้าประเมินว่าภาษายังไม่ค่อยโอเคก็จะให้น้องไปฝึกฝนเพิ่มแล้วค่อยมาสัมภาษณ์ใหม่ค่า

แต่ไม่จำเป็นต้องเก่ง แอดก็พูดแบบสำเนียงไทยๆนี่แหละ แต่พยายามตอบ พยายามอธิบาย ไม่ใช่แค่ถามคำตอบคำแบบ yes no จบ เพราะทำงานกับเด็กต่างบ้านต่างเมืองก็มีประเดเรื่องความปลอดภัยด้วยว่าเราจะฟังที่โฮสบอกรู้เรื่องหรือเวลาเกิดเหตุอะไรเราจะสามารถขอความช่วยเหลือได้ค่า ช่วงนี้ก็ฝึกฝนภาษาอังกฤษไปก่อนเนอะ


Q 23: อยากเป็นออแพร์ เริ่มจากไรดีคะ?

A: เริ่มจากมีเป้าหมายค่า ทำไมอยากไป ไปเมื่อไร  ไปแล้วอยากทำอะไรบ้าง กลับมาแล้วอยากทำอะไรต่อ จะเอาประสบการณ์ที่ได้มาต่อยอดอย่างไร 

คือออแพก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรนะ เงินก็น้อยกว่าถ้าเทียบกับคนมี่ทำงานที่ไทยมาสักพักแล้ว ก็ตกประมาณ2หมื่นเอง เหมือนเด็กจบใหม่ ถ้าไม่ติดรื่องเงินแล้วอยากพัฒนาภาษา พัฒนาตนเองก็มาเถอะค่ะ ประสบการณ์แบบนี้หาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว ได้ฝึกอะไรเยอะมาก ถึงแม้จะมีคนเจอโฮสต์ไม่ดี ประสบการณ์แย่ๆแต่ทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าถ้าให้ย้อนเวลากลับไปก็จะมาสมัครออแพร์อยู่ดี
แอดไปมาแล้วรู้สึกภาษาดีขึ้นจริงๆ แล้วก็ตัวเองโตขึ้นมาก เพราะไปอยู่นั่นต้องทำอะไรด้วยตนเอง ความคิดก็เปิดกว้างขึ้น ได้เห็นมุมมองอะไรหลายๆอย่าง
ก่อนไปแอดเงินเดือนสามหมื่นกว่านะ ยอมลาออกไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กเงินเดือนน้อยนิด แต่ก็เหมือนพักผ่อนท่องเที่ยวไปในตัวจากที่เอาแต่ทำงานหนัก แล้วก็ไปพัฒนาตนเองด้วยอย่างที่บอกไป

Q24: เป็นออแพร์ มีเงินเก็บมั้ยคะ?

A: มีค่ะ ขึ้นอยู่กับการบริหารเงินแต่ละคน
อ่านต่อเรื่องเงินๆ ทองๆ กับออแพร์ได้ที่นี่ https://aupairniceinusa.blogspot.com/2018/10/money.html



วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562

คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ออแพร์ต้องรู้


https://www.youtube.com/watch?v=_xO065mp1qg

          เราได้รวบรวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน ที่ออแพร์ต้องรู้เกี่ยวกับการดูแลเด็ก เหมาะสำหรับว่าที่ออแพร์ไทยทุกคนที่กังวลว่าภาษาอังกฤษของตนเองยังไม่ค่อยดี ไม่เคยมีประสบการณ์ดูแลเด็กมาก่อน และเป็นประโยชน์ในการสัมภาษณ์กับเอเจนซี่และโฮสต์แฟมิลี่ด้วย



Host family (โฮสต์แฟมิลี่) แปลว่า ครอบครัวอุปถัมภ์ คือครอบครัวที่ออแพร์อาศัยอยู่ด้วย ประกอบด้วย
Host mom (โฮสต์มัม) คุณแม่, Host dad (โฮสต์แด๊ด) คุณพ่อ , และ Host kids (โฮสต์คิดส์) ลูกๆ หรือเด็กที่ออแพร์จะต้องดูแลนั่นเอง


Look after (ลุค อาฟเตอร์) มีความหมายว่า Take care (เทคแคร์) แปลว่า ดูแล นั่นเอง

Pick up (พิค อัพ) คือการไปรับ เช่น I'll pick you up from the school at 4PM. 
Drop off (ดร็อพ ออฟ) คือการไปส่ง
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญของออแพร์เลยที่จะต้องไปรับ-ส่งเด็กๆ ไปโรงเรียนและทำกิจกรรมต่างๆ

Nap (แน็พ) คือการงีบหลับ หรือการนอนกลางวันนั่นเอง เด็กๆ โดยเฉพาะทารกและเด็กเล็กจะมีช่วงนอนกลางวัน ซึ่งทำให้ออแพร์ได้พักเหนื่อยบ้าง หรืออาจใช้เวลานี้ทำงานบ้านที่ค้างไว้


Play date (เพลย์ เดท) คือ การที่เด็กๆ วัยเดียวกันมาเล่นด้วยกัน 
Play pal (เพลย์ พาวล์) คือ เด็กวัยเดียวกัน หรือเพื่อนเล่น 
(ไม่ใช่แอพจ่ายเงินเพย์พาลว์นะจ๊ะ แม้จะสะกดเหมือนกันก็ตาม)

Play date เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กๆ ได้เล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน ช่วยเพิ่มทักษะทางสังคม และยังช่วยผ่อนแรงออแพร์ที่จะต้องวิ่งเล่นกับเด็กๆ ทั้งวันอีกด้วย 
ออแพร์จึงมักจะพาเด็กๆ ไป Play date ด้วยกัน เช่น ที่สวนสาธารณะ หรือบ้านของคนใดคนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ต้องดูแลเด็กๆ ให้อยู่ในสายตาตลอดเวลาด้วยนะ


High and Seek (ไฮด์ และซีค) คือ เกมเล่นซ่อนหานั่นเอง แปลตรงๆ ตัวเลย

Treats (ทรีทส์) หมายถึง ขนมหวานต่างๆ ลูกอม ช็อคโกแลต เค้ก ฯลฯ เหมือนกับคำว่า "Trick or treats" ที่พูดกันในวันฮาโลวีน ซึ่งแน่นอนว่าขนมหวานเป็นของโปรดของเด็กๆ ทุกคน ดังนั้นบางบ้านจะมีกฏในการให้ขนมเด็กๆ ออแพร์จะต้องถามเรื่องกฏนี้กับโฮสต์ด้วย เพื่อไม่ให้เด็กกินขนมหวานมากเกินไป

Time out (ไทม์ เอ้าท์) แปลว่า หมดเวลา ในที่นี้หมายถึง วิธีการลงโทษเด็กรูปแบบหนึ่งที่นิยมมากในอเมริกา และยุโรป เพราะว่าฝรั่งจะไม่ตีเด็กเด็ดขาด ถือว่าเป็นการทารุณกรรมเด็ก ผิดกฏหมาย

วิธีการ Time out  เมื่อเวลาเด็กๆ ทำผิดซ้ำๆ หลายครั้ง แม้ว่าจะมีการเตือนแล้ว แต่ไม่ฟัง ยังคงมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอยู่ ก็จะจับเด็กมานั่งเก้าอี้ แล้วหันหน้าเข้ามุมห้อง หรือผนัง และจับเวลาตั้งแต่ไม่กี่วินาที จนถึงไม่กี่นาที (ขึ้นอยู่กับอายุของเด็ก) เพื่อให้เด็กได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และพิจารณาถึงสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่ตัวเองได้ทำลงไป โดยระหว่างที่ทำ นี้จะต้องอยู่ในสายตาคนดูแล แต่จะไม่เข้าไปอยู่ใกล้ๆ ให้เด็กเห็น หรือว่าให้เห็น แต่จะไม่เข้าไปเล่น ไม่คุยด้วย จะอยู่เงียบๆ จนครบเวลา จึงเข้าไปพูดคุยว่าเด็กๆ เข้าใจที่ถูกทำโทษไหม รู้สึกอย่างไร และต่อไปจะไม่ทำอีก ประมาณนี้ เด็กก็จะเรียนรู้เหตุผล และรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองได้มากขึ้น


Go pee pee(โก พี๊ ผิ) เป็นคำที่ใช้กับเด็กๆ แปลว่า ไปฉี่ ถ้าเด็กโตหน่อยอาจจะใช้แค่คำว่า Go pee 
Go poo poo (โก พู๊ ผุ) แปลว่า ไปอึ เด็กโตใช้คำว่า Go poop ได้

Diaper (ไดเพอะ) แปลว่า ผ้าอ้อมเด็ก หรือแพมเพิสนั่นเอง


Diaper pail (ไดเพอะ เพล) หมายถึง ถังสำหรับทิ้งผ้าอ้อม 

Potty (พ้อตตี้) แปลว่า กระโถน 
เด็กเล็กๆ เมื่อถึงวัยที่ต้องเลิกใส่ผ้าอ้อม จะมีการฝึกให้นั่งกระโถน เรียกว่า Potty tain (พ้อตตี้ เทรน) เพื่อให้เด็กรู้จักบอกความต้องการของตัวเอง และช่วยเหลือตัวเอง

wee wee (วี๊ หวิ) ใช้เรียก จู๋ของเด็กผู้ชาย

Boo boo (บู๊ บู้) หมายถึง ได้รับบาดเจ็บ หรือบาดแผล เช่น เวลาเด็กหกล้ม เป็นต้น

Bed time (เบ้ด ไทม์) แปลว่า เวลาเข้านอน
ซึ่งบางบ้านก็จะฝึกเด็กให้มี Bed time routine หรือสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำก่อนนอน ตั้งแต่ อาบน้ำ กินนม แปรงฟัน อ่านหนังสือ (Story time) บอกราตรีสวัสดิ์คนในครอบครัว แล้วจึงเข้านอน

Play pen (เพลย์ เพ็น) คือ คอกกั้นเด็ก หรือรั้วกั้นบริเวณที่เด็กเล่น มักจะใช้ในบ้านที่มีเด็กเล็กๆ ที่เพิ่งเดินได้ เพื่อความปลอดภัย ให้เด็กเล่นในที่ที่จัดไว้ และไม่เดินเพ่นพ่านไปหยิบอะไรอันตราย หรือละสายตา
High chair (ไฮ แชร์) คือ เก้าอี้สูง สำหรับเด็กที่คอแข็ง และนั่งได้แล้ว จะฝึกเด็กให้นั่งทานอาหารบนโต๊ะพร้อมกันกับผู้ใหญ่ในครอบครัว เพื่อฝึกให้เด็กรู้จักทานอาหารตามเวลา และเรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหาร ไม่เดินไปป้อนไป และเด็กก็จะสามารถไปร่วมโต๊ะในร้านอาหารกับผู้ใหญ่ได้ด้วย

Bumbo chair (บัมโบ้ แชร์) บัมโบ้คือชื่อยี่ห้อเก้าอี้ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นเก้าอี้หัดนั่งสำหรับทารก โดยจะวางเก้าอี้ที่พื้นแลจับทารกที่คอแข็งแล้วฝึกนั่ง ก่อนจะย้ายไปให้นั่งบนเก้าอี้สูง (High chair)

Baby gym (เบบี้จิม) คือเสื่อที่มีของเล่นห้อยแขวนไว้เหนือศีรษะทารก ช่วยฝึกพัฒนาการทางด้านสายตา การได้ยิน และกล้ามเนื้อมัดใหญ่ให้ทารกได้ไขว่คว้า และเตะของเล่น ทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี และได้เคลื่อนไหวร่างกาย
Lunch box (ลั้นช์ บ็อกซ์) คือ ข้าวกล่องที่เด็กๆ พกไปกินเป็นอาหารกลางวันที่โรงเรียน เพราะบางโรงเรียนจะไม่มีอาหารกลางวันให้ ออแพร์ก็จะมีหน้าที่จัดเตรียมอาหารใส่กล่องแพ็คใส่กระเป๋าให้เด็กๆ โดยอาหารก็จะเป็นอาหารง่ายๆ เช่น พาสต้า แซนวิช ข้าวผัด ผลไม้ ชีส แครกเกอร์ น้ำผลไม้ นม เป็นต้น
Baby food / Solid food (เบบี้ฟู้ด หรือโซลิดฟู้ด) คืออาหารสำหรับทารกที่เริ่มทานอาหารอื่นๆ นอกจากนม โดยเริ่มจากอาหารเหลว เช่น โอ้ตมีล เบบี้ซีเรียลที่ลักษณะคล้ายๆ โจ๊ก ผลไม้ปั่น แล้วค่อยๆ เริ่มหยาบขึ้นๆ จนกระทั่งเป็นผัก ผลไม้ พาสต้า หรือเนื้อนิ่มๆ หั่นเป็นชิ้นๆ ให้เด็กสามารถหยิบเข้าปากด้วยตนเองได้ เรียกว่า Finger food (ฟิงเกอร์ฟู้ด) 
Bib (บิ๊บ) คือ ผ้ากั้นเปื้อนเด็ก 
ป้ายเบอร์ที่ติดที่อกเสื้อสำหรับนักวิ่งก็เรียกว่า Bib เช่นกัน

Pacifier (แพซิไฟเออะ) คือ จุกหลอกนั่นเอง เรียกสั้นๆว่า แพ้ซซี่ ก็ได้
White noise (ไวท์น้อยส์) แปลว่า เสียงสะอาด หมายถึงเสียงคลื่น หรือเสียงความถี่ต่ำที่ใช้เปิดกล่อมเด็กนอน ซึ่งช่วยว่าการให้เด็กฟัง White noise ตอนนอนจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา
Crib (คริป) คือ เตียงที่มีรั้วกั้นสำหรับเด็กเล็กๆ
Changing table / changing mat (เช้งกิ้ง เทเบิ้ล หรือ เช้งกิ้ง แม็ท) คือโต๊ะ หรือเบาะสำหรับเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็กเล็กๆ 

Monitor (มอนิเตอร์) คือกล้องวงจรปิดที่ติดเอาไว้ในบ้าน ส่วนใหญ่จะติดในห้องนอนเด็ก เพื่อดูว่าเด็กตื่นกลางคืนหรือเปล่า มีหลายแบบ บางชนิดสามารถดูผ่านมือถือได้
Stroller  (สโตรเลอร์) มาจากคำกริยา Stroll (สโตรล์) แปลว่า เดินทอดน่อง เดินเอื่อยๆ ชมนกชมไม้ ดังนั้น Stroller จึงหมายถึงรถเข็นเด็ก ไว้ให้เด็กนั่งเวลาพาเด็กทารกและเด็กเล็กออกไปเดินเล่น
Car seat (คาร์ซีท) คือ ที่นั่งในรถยนต์สำหรับเด็ก ซึ่งมีหลายแบบ ถ้าเป็นเด็กทารกและเด็กเล็กก็คือส่วนที่ถอดออกจาก Stroller ได้ แล้วมาวางบนที่นั่งด้านหลังของรถ โดยหันหน้าเข้าทีนั่งในรถ แต่ถ้าเป็นเด็กโตมาหน่อย จะมีลักษณะคล้ายเก้าอี้ติดอยู่กับรถ และหันหน้าออก
Rattle (แร้ทเทิ้ล) คือ เครื่องดนตรีเขย่า รวมถึงของเล่นเขย่าสำหรับเด็ก
Teething ring (ที๊ทติ้ง ริง) คือ ยางสำหรับให้ทารกกัด เพราะช่วงเวลาที่ฟันทารกกำลังจะขึ้น จะมีอาการคันและเจ็บเหงือก หมั่นเขี้ยว เรียกว่า Teething ต้องหารอะไรมากัด บางบริษัทจะผลิตแบบเป็นตุ๊กตายางน่ารักๆ หรือเป็นเจลที่สามารถแช่ตู้เย็นได้ ความเย็นจะช่วยบรรเทาความปวดของทารกได้



บทความที่เกี่ยวข้อง