วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

วิธีหาคอร์สเรียนสำหรับออแพร์

          กฏของออแพร์ที่ทราบกันดีอยู่แล้ว คือต้องเก็บชั่วโมงเรียน เพราะมาด้วยวีซ่า J-1 และจ่ายค่า SEVIS (ระบบบันทึกข้อมูลของนักเรียนต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศสหรัฐอเมริกา) ซึ่งเราจ่ายไปเรียบร้อยแล้วก่อนมา
          ออแพร์ต้องเก็บชั่วโมงเรียน 6 หน่วยกิต (ุ6 credit) หรือถ้าเรียนคอร์สแบบ non-credited ก็ใช้วิธีนับชั่วโมงเอา เช่น 12 ชม = 1 credit (ชั่วโมงไม่เท่ากันแล้วแต่เอเจนซี่) จะเรียนอะไรก็ได้ที่สนใจ โดยโฮสต์จะจ่ายค่าเรียนให้ไม่เกิน $500 รวมอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างแล้ว ส่วนที่เกินจากนั้นออแพร์ต้องรับผิดชอบเอง แต่บางบ้านโฮสต์ใจดีออกให้ก็มี
          ทั้งนี้  โรงเรียนที่ลงเรียนต้องเป็น Accredited U.S. post-secondary institutions และต้องดูเงื่อนไขของแต่ละเอเจนซี่กำหนดด้วย ยกตัวอย่างบางเอเจนซี่ จะไม่นับหน่วยกิตถ้าเราลงเรียนในคอร์สที่เรียนผ่านทางออนไลน์ หรือเรียนทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต, Hybrid course (เรียนในห้องเรียน + ออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ต), Study tour, Internship (ฝึกงาน), volunteering program (งานอาสาสมัคร) ที่ปรึกษา LCC บางคนก็ไม่นับถ้าเราเรียนฟรีจากโบสถ์หรือห้องสมุด หรือแม้กระทั่่งคอร์สที่เสียเงินบางโรงเรียน เอเจ้นซี่ก็ไม่นับ

"วิธีหาคอร์สเรียนสำหรับออแพร์"

(http://edtechreview.in/images/student-education.jpg)

💚ก่อนอื่นให้คิดไว้ในใจก่อนว่าอยากเรียนเกี่ยวกับอะไร?

1. สำหรับคนที่สนใจเรียนภาษาอังกฤษ หรือไม่รู้จะลงเรียนอะไรดี หรือวางแผนจะเรียนต่อที่อเมริกา คอร์ส English as a second language (ESL) เป็นพื้นฐานในการต่อยอดหลายๆ คลาสเลย เพราะถ้าภาษาอังกฤษได้ก้เรียนอย่างอื่นได้
          คอร์ส ESL หาง่ายมากๆ แค่เสิร์ชกูเกิลก็ขึ้นมาเต็มเลย บางที่ชื่อคอร์สอาจจะต่างไปเล็กน้อย แต่ก็เสิร์ชหาได้ง่ายเช่นกัน เช่น มหาวิทยาลัยที่เราลงเรียนจะเรียกว่า ESOL course ซึ่งคอร์สพวกนี้ราคาถูกมากๆ บางที่เรียนฟรีอีกต่างหาก ค่าเอกสารประกอบการเรียนไม่เสียเลยก็มี โฮสต์ส่วนใหญ่ก็อยากให้เราเรียนเพราะมันถูก และเราจะได้ฝึกภาษาไปในตัว ก่อนจะลงเรียนต้องสอบวัดระดับภาษาด้วย (placement test) แต่ที่นี่เขาเรียกว่า CASAS test เพื่อให้เขาจัดคลาสเรียนให้เหมาะสมกับเราได้ โดยจะสอบทักษะอ่านและฟัง ก่อนไปสอบบางที่อาจต้องนัดเวลาก่อน บางที่เดินเข้าไปสอบได้เลย
* บางโรงเรียนจะมี ESL class ทั้งแบบ credit และ non-credit ซึ่งราคาแบบ non-credit จะถูกกว่ามาก

2. สำหรับคนที่ภาษาอังกฤษพอได้แล้ว จะลงอะไรก็ได้ตามความสนใจเลย ไม่ว่าจะเรียนทำอาหาร ถ่ายรูป หรือเรียนต่อยอดความรู้ในสาขาที่เราเรียนมา เช่น วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ บัญชี บริหาร ครูปฐมวัย สุขภาพจิต เป็นต้น หรือจะเรียนภาษาอังกฤษในระดับสูงขึ้นไป เช่น Academic writing, Advance English, TOEFL Preparation Class เป็นต้น

3. คนที่วางแผนอยากใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาต่อ เช่น แต่งงาน การลงเรียนในคลาสที่เกี่ยวกับอาชีพและให้ใบประกาศนียบัตรรับรองจะเหมือนเป็นใบเบิกทางในการทำงานที่อเมริกา เช่น Event Manager เป็นต้น

 4. คนที่ชอบท่องเที่ยวและพบปะผู้คนใหม่ๆ แนะนำ Au Pair weekend classes อันนี้คือคอร์สที่จัดขึ้นโดยเฉพาะสำหรับออแพร์ จะเป็นคอร์สที่พาเราไปเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์และเรียนรู้วัฒนธรรมชาวอเมริกันไปด้วยในตัว จะมีเฉพาะเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆบางเมือง เช่น San Diego, San Francisco, Tampa, Chicago, Boston ราคาค่อนข้างแพง 1 คอร์ส = 3-6 หน่วยกิต ราคาประมาณ $350-600 ยังไม่รวมค่าเดินทางและค่าที่พักอีก
(รูปจากอินเทอร์เน็ต)

          ข้อดีคือ ได้ไปเที่ยวและใช้เวลาเก็บหน่วยกิตไม่นาน ใครอยากลงเรียนคอร์สนี้ต้องปรึกษากับโฮสต์ดีๆ เพราะโฮสต์บางบ้านไม่อยากจ่ายแพง และได้หน่วยกิตไม่ครบ สมมุติคอร์สนึงได้แค่ 3 หน่วยกิต ถ้าอยากได้ครบต้องลง 2 คอร์สซึ่งจะราคาเกิน หรือจะลงweekend class นี้ 1 คอร์ส และหาคอร์สอื่นๆแถวบ้านตาม community college หรือ adult school เพิ่มเพื่อให้ครบ 6 หน่วยกิต
👉รีวิว Aupair weekend class in Washington DC
คอร์สอื่นๆ ที่คล้ายออแพร์วีคเอนคลาส เช่น  Silver Bay (Albany, NY) และ C.W. Post (Long Island, NY)

💜เรียนที่ไหน เมื่อไร ?
  1. คำนึงถึงช่วงเวลาเรียนด้วย ตกลงกับโฮสต์ให้ดี บางครั้งอาจะต้องหยุดไปเรียน อย่างเช่น weekend class แต่โดยส่วนใหญ่ถ้าเรียนแถวบ้านจะมีคลาสให้เรียนช่วงกลางวัน และเย็น ถ้าออแพร์เลี้ยงเด็กโตก็จะว่างช่วงกลางวันที่เด็กๆไปโรงเรียนกันแล้วสามารถไปเรียนได้ แต่ถ้าออแพร์เลี้ยงเด็กทารก เด็กเล็กๆ อาจต้องใช้เวลาช่วงเย็นหลังเลิกงานหรือวันหยุดไปเรียน
  2. ออแพร์สามารถลงเรียนได้ทั้งคอร์สที่นับหน่วยกิต หรือ credit course และคอร์สที่ไม่นับหน่วยกิต หรือ non-credit course ซึ่งอันหลังนี้จะใช้วิธีนับชั่วโมงเรียนแทน โดยปกติ 12 ชม. = 1 หน่วยกิต (แล้วแต่เอเจนซี่และสถาบันกำหนด) 
  3. การเรียนอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า  continuing education units (CEU) จะมีการนับเครดิตแตกต่างออกไป เช่น คอร์ส CPR เป็นต้น
  4. สถานที่เรียนมีทั้ง Community college, Adult school, Learning center, University, สถาบันสอนภาษาของเอกชน ฯลฯ แต่ต้องตรวจสอบดูว่าทางเอเจ้นซี่รับรองโรงเรียนนี้ไหม ค่าเรียนเท่าไร มีช่วงเวลาที่เราสามารถไปเรียนได้ไหม
วิธีหาคลาสเรียน
1. ปรึกษา LCC ส่วนใหญ่ LCC หรือที่ปรึกษาท้องถิ่นจะให้ข้อมูลแนะนำการเรียนเราได้ดี เพราะเขาเป็นคนในพื้นที่และมีข้อมูลว่าออแพร์แต่ละคนที่เขาดูแลเรียนที่ไหนกันบ้าง

2. โฮสต์แฟมิลี่บางบ้านก็แสนดี หาข้อมูลเรื่องเรียนมาให้เราเลือกสรร หรืออาจจะเลือกให้เราเลย อันนี้ต้องตกลงกับโฮสต์ดีๆ ว่าใช่คอร์สที่เราอยากเรียนไหม

3. ถามเพื่อนออแพร์ที่อยู่ในละแวกเดียวกัน ก็คือมี LCC คนเดียวกันนั่นแหละ ว่าเพื่อนๆ เรียนที่ไหนกันบ้าง ส่วนใหญ่คุยกับเพื่อนจะได้ข้อมูลมากกว่า

4. วิธีสุดท้าย สำหรับออแพร์ที่อยู่เมืองชนบทแบบเราและโฮสต์ก็ใหม่ ไม่มีใครรู้เรื่องหรือแนะนำคอร์สให้ได้เลย เราต้องหาเองค่ะ ซึ่งวิธีหาก็ไม่ยาก นึกไว้ในใจว่าอยากเรียนคอร์สเกี่ยวกับอะไร
          4.1 เสิร์ช google ดูรายชื่อมหาวิทยาลัยที่อยู่แถวบ้านเลย จะใส่เฉพาะชื่อเมือง หรือkey word คอร์สที่อยากเรียนและชื่อเมืองด้วยก็ได้ เช่น  cooking class, singing class  เป็นต้น
          4.2 เสิร์ชจากเว็บไซต์ของเอเจนซี่ เช่น /http://help.culturalcare.com/au-pair/article-categories/education-opportunities-by-state/ จะมีรายชื่อโรงเรียนของแต่ละรัฐ
          4.3 เสิร์ชรายชื่อที่เรียนแถวบ้านจากเว็บ National Literacy Direction เป็นเว็บที่ดีมากๆ เพียงแค่ใส่รหัสไปรษณีย์ลงไป สามารถเลือกได้ด้วยว่าอยากได้รัศมีไกลจากบ้านเท่าไร และสนใจคอร์สเกี่ยวกับอะไร
         4.4 เสิร์ชจากเว็บ DAPIP Database of Accredited Postsecondary Institutions and Programs  
                   (1) คลิก Advance Serch แล้วใส่ชื่อเมือง หรือชื่อรัฐ ก็จะได้รายชื่อโรงเรียนมา
                   (2) คลิก Download Data File จะได้ไฟล์รายชื่อโรงเรียนที่รับรองทั่วอเมริกามา
     4.5 เสิร์ชจากเว็บ CHEA Council for Higher Education Accreditation

                   (4) คลิก Browse Directories > เลือก Search Institutions หรือ Search Programs หรือ Search Accreditors แล้วใส่ข้อมูลลงไป จะได้รายชื่อโรงเรียนที่รับรองมา

💗การตรวจสอบว่าโรงเรียน/สถาบันนั้นได้รับการรับรองหรือไม่ ?

ให้เช็คกับเว็บ DAPIP  หรือ CHEA  โดยพิมพ์ชื่อโรงเรียนลงไป ถ้าเสิร์ชแล้วไม่เจอ แสดงว่าสถาบันนี้ไม่ผ่าน ลองถาม LCC ให้ยืนยันอีกทีเพื่อความชัวร์

💙ขอรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเรียน
  1. ให้เข้าไปดูในเว็บไซต์ของสถาบันนั้นๆ เพื่ออ่านรายละเอียดคอร์สที่จะเรียนดูว่าเป็นแบบ credit หรือ non-credit course ระยะเวลาเรียนเท่าไร ค่าใช้จ่ายเท่าไรทั้งค่าสอบ ค่าเรียน และค่าหนังสือ เป็นต้น ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมให้โทรศัพท์ หรือส่งอิเมล์ไปถามสถาบันที่เรียนโดยตรงเลย เราเคยส่งอิเมล์ไปถามมหาลัยเกี่ยวกับคอร์สที่จะเรียน เขาตอบกลับมาไวมาก และให้รายละเอียดดีมากๆ เลย 
  2. บางโรงเรียนจะให้ยืมหรือมัดจำหนังสือเรียน พอเรียนเสร็จก็คืน แต่บางโรงเรียนจะให้ซื้อหนังสือ ถ้าซื้อแบบมือสองจะถูกกว่า สามารถหาซื้อได้ทั้งที่โรงเรียนเอง และออนไลน์อย่าง Amazon, Ebay 
  3. เวลาสมัครเรียนอย่าลืมนำเอกสารติดตัวไปด้วย หลักๆ คือ passport, VISA, DS-2019, I-94 และค่าลงทะเบียน (เช็คก่อนด้วยว่าให้ชำระเงินได้ทางไหนบ้าง) เป็นต้น ซึ่งบัตรนักเรียนมีประโยชน์ใช้เป็นส่วนลดร้านค้าต่างๆ ได้

💛ใบประกาศนียบัตรหลังจบคอร์ส
- บางแห่งจะให้ประกาสนียบัตรรับรองมาให้ แต่บางแห่งไม่มี ก่อนเรียนจบก็บอกอาจารย์ผู้สอน หรือติดต่อofficeของโรงเรียนว่าขอจดหมาย/ใบรับรองชั่วโมงการเรียน (กรณีเรียนแบบ non-credit) เพื่อจะได้เอาไปยื่นให้กับเอเจนซี่ไว้
หน้าตาประกาศนียบัตรคลาสแบบ non-credit ที่ community college ก็จะนับชั่วโมงเอา 
เพราะค่าเรียนแบบ credit class แพงเกินกว่าเงิน $500 ที่โฮสให้มาก

Adult school นี้ LCC ไม่ให้ผ่านจ้า แต่ลงเรียนไปประดับความรู้เพราะเงินที่โฮสให้เหลือ ไม่อยากคืน

คลาสนี้เป็น ESL แบบnon-credit class ที่ community college แต่ไม่มีใบประกาศนียบัตรให้
เลยให้คุณครูช่วยเขียนจดหมายรับรองการเรียนให้หน่อย 
โดยใช้หัวจดหมายที่มีตราของโรงเรียน ลงชื่อ-นามสกุล ชื่อคลาส เทอม และชั่วโมงที่เรียนทั้งหมด

💝 หมายเหตุ
  • ต้องเรียนให้จบก่อนเดือนที่ 11 ของการเป็นออแพร์ ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถต่อปีสองได้
  • บางเอเจนซี่อนุญาตให้ออแพร์ที่ลงเรียนเกิน 6 หน่วยกิต หรือ 72 ชม.ในปีแรก สามารถเก็บส่วนที่เกินไปใช้ในปีสองได้ กรณีต่อปีสอง

หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น