(pixabay.com)
2. บางร้านค้า จะมีคูปองส่วนลดให้เราปริ้นท์จากเว็บไซต์ของร้านและนำไปใช้ที่ร้าน เวลาจ่ายเงินก็แสดงคูปองให้พนักงานดูค่ะ ช่วยประหยัดไปได้อีกนิดหน่อย
(https://hip2save.com/wp-content/uploads/2018/04/cvs-eb-reward-pop-arazzi-nail-polish1.jpg?resize=1200,630&strip=all)
4. เวลาไปซื้อของไม่ว่าจะซื้อจากร้านหรือซื้ออนไลน์ อย่าลืมว่าจะต้องจ่าย Sales Tax/VAT เพิ่มด้วยอีก 6-10% ของราคาสินค้า (อัตรา Sales Tax ขึ้นอยู่กับแต่ละเมือง แต่ละรัฐไม่เท่ากัน)
(Sale Tax ของ Massachusetts คือ 6.5%)
5. หลังซื้อสินค้า ในใบเสร็จรับเงินจะมีลิ้งค์ให้เข้าไปตอบแบบสอบถาม หรือแบบสำรวจความคิดเห็นเรื่องบริการและสินค้า แล้วจะได้รับส่วนลด หรือ gift card (บางร้านจะได้รับทันทีหลังตอบแบบสอบถามเสร็จ แต่บางร้านจะเป็นลักษณะชิงรางวัล)
6. มี 5 รัฐที่Free Sale Tax ได้แก่ Alaska (สำหรับ resident เท่านั้น ถ้า non-resident อาจต้องจ่าย sale tax สูงสุดไม่เกิน 1.76%), Delaware, Montana (ยกเว้นบางเมือง), New Hamshire และ Oregon
(https://www.thebalance.com/thmb/SYLXRGchu_D822uSJxWUSQAG8Q0=/400x0/states-without-a-sales-tax-3193305-final1-5b61ead946e0fb0025def3b3.png)
7. บางรัฐก็ยกเว้น Sale tax สำหรับเสื้อผ้า รองเท้า ได้แก่ Massachusetts, Minnesota, New Jersey, New York, Pennsylvania, Rhode Island และ Vermont
(https://1lz3sq2g71xv1ij3mj13d04u-wpengine.netdna-ssl.com/wp-content/uploads/2015/02/State-Clothing-Taxability-Map.png)
8. ทุกรัฐที่มี Sale tax จะมีวันปลอดภาษีประจำปี เรียกว่า Sale Tax Holiday
👉 2019 sales tax holidays
9. ที่อเมริกา ไม่ว่าจะซื้อของจากร้านค้าจริงหรือร้านค้าออนไลน์ หากไม่พอใจ สามารถนำสินค้ามาคืนหรือเปลี่ยนได้ (Return/Change different item) โดยเฉพาะเสื้อผ้า แต่ต้องไม่ตัดป้ายราคาออก และเก็บใบเสร็จไว้ ระยะเวลาในการคืนและเงื่อนไขอื่นๆ แล้วแต่ร้านค้า ส่วนใหญ่คืนได้ภายใน 30 วัน
เคยได้ยินมาว่าบางคนซื้อวิดีโอเกมมาเล่น เล่นเสร็จเอาไปคืนก็มี หรือซื้อนาฬิกามาใส่ไปงานสวยๆ เสร็จ วันรุ่งขึ้นเอาไปคืน เหตุการณ์แบบนี้มีจริง ๆ แต่ไม่แนะนำให้ทำตามนะคะ
แต่ถ้าสั่งออนไลน์แบบไม่มี Free shipping เวลาคืนสินค้าอาจต้องจ่ายเงินค่าส่งพัสดุเอง เช่น ราคาสินค้า $50 + ค่าส่ง $20 ถ้าอยากคืนสินค้าต้องเสียค่าส่งกลับอีก $20 และได้คืนเฉพาะราคาสินค้า $50 (เท่ากับเสียไป $90 แต่ได้คืนแค่ $50)
10. ซื้อของผ่านแอพได้เงินคืน (Cash back) เช่น แอพ Ebate ได้cash back 2-40% บางครั้งมี double or triple cash back และยังสามารถใช้ร่วมกับ Amazon, Ebay, Walmart, Bestbuy, Sephora ฯลฯ ได้ด้วย โดยจะได้รับเงินคืนในรูปแบบของCheck ส่งมาที่บ้าน หรือโอนเข้า PayPal หรือเลือกรับเป็นคูปองเงินสดสำหรับซื้อสินค้าในร้านที่เข้าร่วมรายการ
(https://www.moneypeach.com/wp-content/uploads/2016/08/Ebates-560.jpg)
(https://static.ebates.com/images/home/carousel/carousel_howtoearn.jpg)
11. ร้านค้าบางร้าน เช่น CVS, Target, Walmart เวลาจ่ายเงินผ่านบัตร จะมีให้กดเลือก Cashback ด้วย ซึ่งเป็นคนละ Cashback กับการซื้อของออนไลน์นะคะ Cashback อันนี้เสมือนตู้ ATM ให้เรากดเงินสดได้จากแคชเชียร์หลังจากซื้อสินค้าเค้าแล้ว
(https://milestomemories.boardingarea.com/wp-content/uploads/2015/05/IMG_20150505_061826-2.jpg)
ตัวอย่างเช่น ซื้อโลชั่นราคา $15 จ่ายผ่านบัตร แล้วกดเลือก Cashback $10 เราจะได้เงินสดมา $10 แต่เงินในบัญชีเราจะหายไป $25 ค่ะ
12. ที่อเมริกาจะมีวันที่สินค้าลดราคาใหญ่ๆ อยู่หลายวัน ได้แก่
- วันที่สินค้าลดราคากระหน่ำมโหฬารกว่า 50% เรียกว่า ฺBlack Friday ตรงกับวันศุกร์ที่สามของเดือน หรือวันศุกร์ถัดจากวัน Thanksgiving ซึ่งพอเลยเที่ยงคืนวัน Thanksgiving ไปปุ๊บ ร้านค้าก็จะเปิดให้คนเข้ามาช้อปปั๊บ ดังนั้นจึงจะเห็นผู้คนมากมายต่อแถวหรือตั้งแคมป์รออยู่หน้าร้านตั้งแต่คืนวัน Thanksgiving ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของเดือนพฤศจิกายน
- ส่วนวันอื่นๆ ที่ลดเยอะแต่ไม่มีเท่า Black Friday ได้แก่ หลังจากคริสมาสต์,
- Cyber Monday ตรงกับวันจันทร์หลังThanksgiving จะลดราคาสินค้าสำหรับผู้ซื้อทางออนไลน์
- Super Saturday คือวันเสาร์สุดท้ายก่อนวันคริสมาสต์ ร้านค้าจะขยายเวลาปิดร้านออกไป คล้ายๆ Midnight Sale,
- วันสุดสัปดาห์ก่อนวันอีสเตอร์ ลดราคาพวกลูกอม Church clothing ของเล่น,
- วันเสาร์ก่อน Super Bowl (Super Bowl คือการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี) จะลดราคาโทรทัศน์และอาหาร
- และทุกๆวันสุดสัปดาห์ก่อนวันเทศกาลใหญ่ๆ เช่น the Fourth of July เป็นต้น
https://blog.taxjar.com/sales-tax-on-clothing/