วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2562

การเดินทางท่องเที่ยวในอเมริกา

(Pixabay.com)
         อเมริกาเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ และประกอบด้วยความหลากหลายทั้งเชื้อชาติประชากรทั้งคนเอเชีย ยุโรป แอฟริกา ชนเผ่าพื้นเมือง และภูมิศาสตร์ที่น่าอัศจรรย์ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจะเป็นเทือกเขา น้ำตก ป่าไม้ ทะเลทราย ภูเขาน้ำแข็ง และชายหาด ฯลฯ รวมถึงเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ในเมื่อเราได้มีโอกาสมาเป็นออแพร์ในอเมริกาแล้ว ก็ไม่พลาดที่จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพื่อพบเจอประสบการณ์และผู้คนใหม่ๆ

การเดินทางท่องเที่ยวในอเมริกาทำได้หลายวิธี ดังนี้

1. เครื่องบิน

อันดับสายการบินภายในประเทศ (US Domestic Airlines) เรียงตามลำดับคะแนนที่ดีที่สุดแห่งปี 2018

(https://i0.wp.com/thepointsguy.com/wp-content/uploads/2018/03/Best-and-Worst-airlines-results.jpg?fit=2048%2C2048px&ssl=1)

สำหรับออแพร์เงินน้อยอย่างเรา เราให้ความสำคัญกับราคาตั๋วเครื่องบินมากกว่าอันดับของสายการบิน ยกเว้นว่าราคามันใกล้เคียงกัน
(https://www.gannett-cdn.com/-mm-/9d26ee5d38a1fe9142aa99927c46894d2e23fa08/c=0-77-1024-655/local/-/media/2016/04/07/USATODAY/USATODAY/635956519401972074-USAToday-MAR16-24.jpg?width=3200&height=1680&fit=crop)

  • สายการบินที่ฟรี Personal bag 1 ใบ, Carry-on bag 1 ใบ, และโหลดกระเป๋าฟรี 2 ใบ มีสายการบินเดียวคือ Southwest Airlines ที่เหลือจะต้องจ่ายค่าน้ำหนักกระเป๋าใบแรก $30-50 และใบที่สอง $40-60 โดยน้ำหนักกระเป๋า Checked bag ต้องไม่เกิน 50 lbs
  • สายการบินที่ฟรี Personal bag 1 ใบ และ Carry-on bag 1 ใบ ได้แก่ Alaska Airlines, Delta Air Lines, JetBlue, Frontier Airlines 
  • สายการบินที่ฟรีเฉพาะ Personl bag 1 ใบ เท่านั้น ได้แก่ American Airlines, United Airlines, และ Spirit Airlines

สำหรับกระเป๋า Personal bag และ Carry-on bag สามารถนำนำของเหลวขึ้นเครื่องได้ไม่เกินขวดละ 100 ml  สามารถพกอาหาร ผลไม้ขึ้นเครื่องได้ แต่ต้องมีปริมาณของเหลวไม่เกิน 100 ml เช่นกัน และต้องนำเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เช่น โน้ตบุ๊ค ไอแพด ออกมาจากกระเป๋าตอนที่ผ่านจุดตรวจสแกนกระเป๋า(Security check)

(https://worldwidetraveler.net/wp-content/uploads/2014/06/311_poster_585wide.jpg)
ห้ามนำของมีคม อาวุธปืน น้ำยาต่างๆ สเปรย์ ฯลฯ ใส่ในกระเป๋า Carry-on
(http://www.flyjacksonville.com/images_web/items-pro.png)

การจองตั๋วให้ได้ราคาถูก ควรจองล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน มีคนบอกว่าควรจองตั๋ววันอังคารตอนบ่ายสามโมง เพราะเป็นเวลาที่สายการบินปรับราคา สามารถจองตั๋วกับเว้บไซต์ของสายการบินได้โดยตรงหรือเปรียบเทียบราคาตั๋วผ่านแอพพลิเคชั่น เช่น Expedia, Google flight, Kayak, Skyscanner, Hopper, Orbitz, Momondo เป็นต้น บางคนสมัครสมาชิกเพื่อสะสมไมล์และใช้เป็นส่วนลดกับสายการบิน


👉 ข้อดี-ข้อเสียของแอพพลิเคชันจองตั๋วเครื่องบินต่างๆ

การเช็คอิน สามารถเช็คอินออนไลน์ล่วงหน้าได้ 24 ชั่วโมงทางเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นของสายการบินเพื่อช่วยประหยัดเวลา หลังเช็คอิน Boarding pass จะถูกส่งมาให้ สามารถบันทึกเก็บไว้ในโทรศัพท์ สั่งปริ้นท์ หรือจะไปปริ้นท์ที่เคา์เตอร์สนามบิน หรือเครื่อง self check in ก็ได้

2. เดิน

หลายๆเมือง เช่น New York City, Philadelphia, Seatle, Boston สามารถเดิน เที่ยวได้โดยไม่ต้องนั่งรถ แต่เมืองอื่นๆ อาจทำได้โดยเฉพาะใน Downtown หรือ Uptown นอกเหนือจากนี้อาจต้องพึ่งพาขนส่งสาธารณะ หรือขับรถเอา

3. จักรยาน


เมืองใหญ่ๆ บางเมืองจะมีบริการให้เช่าจักรยาน โดยคิดราคาค่าบริการแบบรายชั่วโมง หรือรายวัน โดยสามารถเช่าจากจุดหนึ่งและไปคืนอีกจุดหนึ่งได้ ราคาแตกต่างกันไปในแต่ละเมือง

(http://www.southbaybicyclecoalition.org/wp-content/uploads/2018/11/BIKE-SAFETY-TIP-2.jpg)

การขี่จักรยาน ควรปฏิบัติตามกฏจราจร เช่น ขี่ในเลนของจักรยานโดยเฉพาะ รอสัญญาณไฟจราจร หยุดให้คนข้ามถนน รู้จักการให้สัญญาณมือ ถ้าเป็นไปได้ ควรสวมใส่เสื้อผ้าสีสดใส สวมหมวกกันน็อค และติดไฟที่รถจักรยานหรือตัวเราเองเวลากลางคืน

สัญลักษณ์คนข้ามถนน มาจากคำเต็มว่า Pedestrian Crossing
(http://stanleyrabinowitz.com/crossings/Pedestrians/PedXing2FacingRight.jpg)

4. รถยนตร์

          ถ้าหากมีรถเป็นของตัวเองก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะมาก แต่ถ้าหากไม่มี การเช่ารถแล้วหารกับเพื่อนก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับการเดินทางระยะไกล หรือ Road trip
          ที่อเมริกามีบริษัทให้เช่ารถหลากหลาย สำหรับการเช่ารถจากร้านนอกสนามบินจะมีราคาถูกกว่าหน่อย แต่มีเวลาเปิดร้านเช่าช้า และปิดร้านเร็ว อาจทำให้คืนรถไม่ทันต้องเช่าเพิ่มอีก 1 วัน แต่ถ้าหากเช่าจากสนามบินราคาจะแพงกว่านิดหน่อย แต่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง และถ้าเช่าจากสนามบินแต่ร้านอยู่ห่างจากอาคารผู้โดยสาร จะมีบริการรถ shuttle bus รับส่งจากจุดเช่ารถไปยังสนามบินฟรี

👉 รีวิวขั้นตอนการเช่ารถในอเมริกา
สามารถเช่าได้จากหน้าเคาน์เตอร์ หรือจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ของบริษัทให้เช่ารถ หรือจองผ่านแอพพลิเคชั่นยอดนิยมอย่าง Expedia

(http://www.enjoyingusa.com/wp-content/uploads/2016/02/car-hire-logos.jpg)
  • การเช่ารถ สำหรับคนที่มี US  Driver's license จะเช่ารถได้ง่าย สามารถใช้บัตรเดบิตจ่ายได้ แต่จะถูก hold เงินไว้จำนวนหนึ่งจนกว่าจะคืนรถเรียบร้อยว่าไม่มีค่าเสียหายใดๆ ให้เรียกเก็บเพิ่มเติม จึงจะคืนเงินที่ hold นั้นให้ แต่ใช้เวลานานประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 3 เดือน
  • สำหรับคนที่ไม่มี  US  Driver's license จำเป็นต้องใช้ใบขับขี่ไทยคู่กับใบขับขี่สากล และจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตเท่านั้น โดยต้องมียอดเงินในบัตรเครดิตมากกว่าราคาเช่าอย่างน้อย 25% ขั้นต่ำสุดคือต้องมี $200
  • ผู้เช่าควรมีอายุมากกว่า 25 ปี เพราะถ้าต่ำกว่านี้จะได้ราคาแพงกว่า $10-$25 ต่อวัน
                  👉ที่เช่ารถราคาไม่แพงสำหรับคนที่อายุน้อยกว่า 25 ปี
  • ค่าประกันรถแพงกว่าค่าเช่ามาก แต่ซื้อเถอะ เพราะเกิดอะไรขึ้นมา ค่าเสียหายแพงกว่าค่าประกันหลายเท่า
  • อย่าลืมถ่ายรูปรถยนต์ก่อนรับรถเพื่อเป็นหลักฐานว่ารอยขีดข่วน ยุบ รอยชนต่างๆ ไม่ได้เกิดจากเราทำ
  • สามารถรับรถ และคืนรถคนละที่ คนละรัฐกันได้ แต่ราคาจะแพงขึ้นด้วย
  • ควรเพิ่มชื่อคนขับรถทุกคนลงไปในสัญญาการเช่า
  • การเช่ารถขับจากอเมริกาไปประเทศใกล้เคียง เช่น แคนาดา สามารถทำได้ โดยต้องมีวีซ่าแคนาดา(สำหรับเดินทางเข้าประเทศแคนาดา) ตอนเช่าต้องแจ้งบริษัทที่เช่าว่าจะไปแคนาดา ต้องซื้อประกันระหว่างประเทศเพิ่ม และตอนข้ามไป-กลับอเมริกาต้องถูกตรวจเรื่องสิ่งของห้ามนำเข้าประเทศ และอย่าลืมพกPassport และ DS-2019 ไปด้วยเพื่อใช้กลับเข้าประเทศอเมริกา

เช่ารถจาก Turo

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a7/Turo_Logo.png/220px-Turo_Logo.png)

Turo คือ การเช่ารถจากเจ้าของรถโดนตรง คล้ายการไปเช่าบ้านอยู่แบบ Airbnb ซึ่งมีราคาถูกกว่าการเช่ารถจากบริษัท ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่น ประกันรถ ค่าน้ำมัน จุดรับ-คืนรถ ฯลฯ อยู่ที่จะตกลงกับเจ้าของรถ

* การขับรถในอเมริกา ต้องปฏิบัติตามกฏจราจรอย่างเคร่งครัด และระวังคนข้ามถนนเสมอ เพราะใบสั่ง (Ticket) ที่นี่แพงมาก โดยเฉพาะการขับรถเร็วเกินกำหนด

5. Taxi, Uber, Lyft

Taxi สีเหลือง สัญลักษณ์ของ New York
(Pixabay.com)
         
         การนั่งรถแท็กซี่ที่นี่สามารถจ่ายเงินสดหรือบัตรเครดิต/เดบิตก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะโดนชาร์จแพง และควรให้ทิปคนขับด้วย ดังนั้นคนจึงนิยมใช้ Uber หรือ Lyft แทน เพราะสะดวกกว่า สามารถดูราคาได้ ประมาณเวลาที่รถจะมารับ และไปถึงที่หมายให้ และยังสามารถตั้งวันเวลาเรียกรถล่วงหน้าได้ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นส่วนลดให้ด้วย
(https://i.ebayimg.com/images/g/bpEAAOSwruhZkfTz/s-l640.jpg)

         การเดินทางด้วยวิธีนี้เหมาะกับคนที่เดินทางเป็นกลุ่มช่วยหารค่ารถกัน จะสะดวกสบายและบางครั้งอาจประหยัดกว่าการขึ้นรถบัสหรือรถไฟ แต่สำหรับคนที่เดินทางคนเดียว มีบริการ Uber Pool และ Lyft Shared ที่ให้เราโดยสารไปกับผู้โดยสารคนอื่นในรถคันเดียวกัน ซึ่งประหยัดกว่า Uber หรือ Lyft ธรรมดา 

6. รถประจำทาง (Bus) และรถไฟในเมือง

(https://cdn.vox-cdn.com/thumbor/VFeYf5TiN9d_dbYPUPRWTD89SlQ=/0x0:2500x1664/1200x800/filters:focal(1050x632:1450x1032)/cdn.vox-cdn.com/uploads/chorus_image/image/58511189/busservice.0.jpg)

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/46/Muni_5_Fulton_trolleybus_at_Temporary_Transbay_Terminal%2C_December_2017.JPG/1200px-Muni_5_Fulton_trolleybus_at_Temporary_Transbay_Terminal%2C_December_2017.JPG)

รถประจำทางที่นี่ ขอทับศัพท์เรียกว่ารถบัส มีทั้งที่คล้ายรถประจำทางปรับอากาศบ้านเรา และรถรางมีสายโยงบนหลังคาแบบในรูป เวลาซื้อตั๋ว สามารถซื้อได้บนรถเลย (บางที่จะไม่มีเงินทอนให้ ต้องเตรียมเงินให้พอดี) หรือว่าซื้อบัตรเติมเงิน หรือแบบ Unlimited 3 Days Pass, 7 Days Pass ได้ที่สถานีรถไฟ นอกจากนี้ บางเมือง เช่น ใน San Francisco, Denver, Seattle ซื้อตั๋ว 1 ครั้งสามารถขึ้น-ลงรถกี่ครั้งก็ได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมงตามเวลาที่ฉีกตั๋ว และบางเมืองสามารถใช้บัตรเดียวขึ้นรถบัสกับรถไฟได้เลย

(https://ggwash.org/images/made/images/posts/_resized/5132417163_5fb2464542_b_800_534_90.jpg)

ตอนขึ้นรถบัสที่นี่ครั้งแรก หาที่กดกริ่งไม่เจอ เพราะรถที่นี่มีกริ่งหลายแบบ ทั้งแบบธรรมดาเหมือนบ้านเรา แบบเป็นแถบสีเหลือง และเป็นเชือกให้ดึง
(http://web.mta.info/nyct/bus/images/bus_animation_e.gif)

(http://www.go-metro.com/uploads/images/IMG_1241.jpg)
สิ่งที่น่าตื่นตาสำหรับเราอีกอย่างคือ รถทุกคันจะสามารถปล่อยลมยางรถออกเพื่อให้ระดับรถเตี้ยลง ผู้สูงอายุหรือเด็กก็จะก้าวขึ้นรถได้ง่าย ส่วนผู้พิการที่นั่งวีลแชร์หรือเด็กทารกในรถเข็นก็สามารถขึ้นรถได้เพราะทุกคันจะสามารถปล่อยทางลาดลงมาให้เข็นขึ้นไป คนขับรถจะมาช่วยล็อกล้อหรือเข็นให้วีลแชร์ด้วย  ส่วนคนที่นำจักรยานมาด้วยก็สามารถวางไว้ที่หน้ารถบัสได้เลย เท่สุดๆ

(https://www.youtube.com/watch?v=5Yfo8lefYno)

ส่วนรถไฟ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Train ถ้ารถไฟใต้ดินก็เรียกว่า Subway รถไฟที่นี่บางครั้งวิ่งได้ทั้งใต้ดิน บนดิน ขึ้นสะพานเลย
มีบางเมืองที่มีชื่อเรียกเฉพาะสำหรับรถไฟ ตัวอย่างเช่น
  • New York เรียกว่า Subway
  • Chicago เรียกว่า L
  • DC เรียกว่า Metro
  • San Francisco เรียกว่า Muni Metro
  • Boston เรียกว่า T
(https://cdn.mbta.com/images/stops/downtown_crossing.jpg)

7. รถบัสและรถไฟระหว่างเมือง (intercity)

เปรียบได้กับรถทัวร์ บขส.บ้านเราที่วิ่งข้ามจังหวัด แต่ที่นี่จะมีแบบชั้นเดียวเท่านั้น ติดแอร์ทุกคัน มีไวไฟบนรถ และที่เต้าเสียบสำหรับชาร์จโทรศัพท์ให้บนรถด้วย รถบัสแบบนี้มีหลากหลาบริษัทมาก เช่น Greyhound, Peter Pan lines, Megabus, Boltbus โดยเฉพาะในฝั่งตะวันออกของอเมริกา เช่น New York, Boston, Washington DC จะเลือกนั่งของเจ้าไหนก็ลองอ่านรีวิวดูดีๆ เพราะบางเจ้ารถก็เก่า แถมมาไม่ตรงเวลา

(https://www.gannett-cdn.com/-mm-/3d8a996800c54628744d73c15023532aefbd9cef/c=108-0-2172-1161/local/-/media/USATODAY/USATODAY/2014/07/09/1404919594000-XXX-greyhound-bus031.jpg?width=3200&height=1680&fit=crop)

          การซื้อตั๋ว สามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วเลย แต่ราคาจะแพงกว่าซื้อล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ของบริษัทรถโดยตรง หรือผ่าน Wanderu แอพพลิเคชั่นที่รวมรถบัสและรถไฟที่วิ่งข้ามเมืองทุกเจ้าไว้ให้เปรียบเทียบราคาได้ง่ายๆ ภายในแอพเดียว เพียงแค่ใส่ที่อยู่ จุดหมายปลายทางและเลือกวันเดินทาง และยังบอกด้วยว่ารถเที่ยวไหนของวันที่ออกเช้าที่สุด สายที่สุด ราคาถูกที่สุด และใช้ระยะเวลาเดินทางสั้นที่สุด 
         การซื้อตั๋วรถบัส/รถไฟที่นี่ไม่สามารถจองที่นั่งได้ ใช้ระบบ First come, first serve ใครไปก่อนได้เลือกที่นั่งก่อน มีการจำกัดจำนวนและน้ำหนักกระเป๋าChecked bag ด้วย (แต่ไม่จำกัด Carry-on bag) สามารถนำอาหารขึ้นไปทานบนรถได้ แต่ห้ามคุยโทรศัพท์บนรถ
          
 
(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/5/52/Wanderu-logo-stacked.jpg)
(https://techcrunch.com/wp-content/uploads/2015/02/wanderu-app-mockup.png?w=730&crop=1)

*ข้อควรระวัง ถ้าไม่ใช่เมืองใหญ่ๆ ที่มีนักท่องเที่ยวตลอดปี การนั่งรถบัสอาจไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร เพราะคนที่มีฐานะที่นี่เขาไม่นั่งกัน ส่วนใหญ่ก็จะเจอแต่พวกคนผิวดำที่ท่าทางดูน่ากลัว ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย เราเลือกนั่งเฉพาะเวลากลางวัน แล้วก็ไปถึงที่สถานีล่วงหน้านานหน่อยเพื่อจะได้จองที่นั่งหน้าๆ ใกล้คนขับ แล้วเก็บของมีค่าไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา
     
          ส่วนรถไฟที่วิ่งข้ามเมืองที่นี่มีเพียงบริษัทเดียว ชื่อว่า Amtrak  โดยให้บริการใน 46 รัฐ ยกเว้น South Dakota และ Wyoming รวมถึงวิ่งข้ามพรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับแคนาดาอีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการชมวิวระหว่างทาง และมีความ สะดวก ปลอดภัย
          การซื้อตั๋ว สามารถซื้อที่เคาน์เตอร์ที่สถานี หรือทาางเว็บไซต์ https://www.amtrak.com/ หรือผ่านแอพ Wanderu ก็ได้

(https://media.treehugger.com/assets/images/2013/05/amtrak-electric-locomotives-high-efficiency.jpg.860x0_q70_crop-scale.jpg)

(https://www.amtrak.com/content/dam/projects/dotcom/english/public/documents/Maps/Amtrak-System-Map-1018.pdf)

👉 รีวิว นั่งรถไฟ Amtrak เที่ยวรอบอเมริกา
👉 รีวิว นั่งรถไฟ Amtrak 45 วันในอเมริกา

8. เรือ Ferry

(https://www.nps.gov/stli/learn/news/images/Lady-Liberty_Miss-Liberty.jpg)

เป็นเรือข้ามฟากที่พาไปยังเกาะใกล้เคียง เช่น จาก San Francisco ไปคุก Alcatraz, จาก New York ไปยังเทพีเสรีภาพ, จาก Boston ไป Salem เป็นต้น บนเรือมีบริการขายอาหารและเครื่องดื่ม
สามารถจองตั่วเรือ Ferry ล่วงหน้าในราคาถูกได้จากเว็บไซต์โดยตรง หรือผ่าน Groupon.com หรือใช้ส่วนลดจากคูปองในแผ่นพับ แผนที่ หรือโบร์ชัวร์ท่องเที่ยวของเมืองนั้น

9. รถบัสนำเที่ยว (ซื้อทัวร์)

Hop-On-Hop-Off Bus / City Sightseeing Bus Tour / Trolley tour
         เป็นรถบัส หรือรถรางนำเที่ยวรอบเมือง พบได้ตามเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น New York City, Boston, Miami, San Francisco, Los Angelis, Philadelphia, St.Augustine, San Diego เป็นต้น มีไกด์คอยบรรยายในรถ จะจอดแวะจุดสำคัญต่างๆ สามารถขึ้น-ลงกี่รอบก็ได้ภายใน 1 วันตรงป้ายจอดรถบัสที่กำหนด โดยรถบัสจะมาทุกๆ 15-30 นาที เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีรถ และต้องการไปสถานที่ต่างๆ ที่ค่อนข้างไกลกันในเวลาวันเดียว

(ที่มารูป https://www.redbuses.com/wp-content/uploads/2016/06/Helsinki-1.jpg)

(https://cdn.trolleytours.com/wp-content/uploads/2016/06/st-augustine-hop-on-hop-off-tours.jpg)


รถทัวร์นำเที่ยว 
          เช่น รถทัวร์ไปอุทยานแห่งชาติ Yellow Stone, รถทัวร์ไปน้ำตกไนแองการ่า, ไปSki Resort, ไปสวนสนุก Disney World เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นแพ็กเกจทัวร์ 1-4 วัน พร้อมรถบัสรับ-ส่งจากโรงแรม สถานีรถไฟ หรือสนามบิน ส่วนใหญ่ไม่รวมค่าอาหารกลางวัน มีไกด์คอยบรรยายตลอดทาง เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีรถและต้องการเดินทางไปยังสถานที่ที่รถสาธารณะเข้าไม่ถึง

(https://www.yellowstonenationalparklodges.com/content/uploads/2018/06/Historic-Yellow-Bus-TIFF-61.jpg)

สามารถจองตั่วรถบัสนำเที่ยวเหล่านี้ในราคาถูกได้จาก Groupon.com , Expedia.com. หรือใช้ส่วนลดจากคูปองในแผ่นพับ แผนที่ หรือโบร์ชัวร์ท่องเที่ยวของเมืองนั้น

10. รถบ้าน RV (Recreational Vehicle), Motorhome และ Camper Van

          รถพวกนี้คือรถตู้ รถบัส หรือรถกระบะที่สามารถกินนอน ทำอาหารได้ในรถระหว่างขับตระเวนท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งรถพวกนี้แบ่งเป็นหลายประเภท แตกต่างกันตามขนาดและฟังก์ชันการใช้งาน การเลือกรถขึ้นอยู่กับว่าเรามีงบประมาณเท่าไร จะไปที่ไหนบ้าง มีผู้ร่วมทางกี่คน รวมถึงจำนวนสัมภาระที่นำไป

ภายในรถบ้าน


ประเภทของรถบ้าน

1. Class A motorhomes มีขนาดใหญ่ที่สุด พื้นที่ภายในมาก สิ่งอำนวยวามสะดวกครบครันทั้งห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนอน ตู้เย็น อ่างล้างมือ เครื่องทำความร้อน แต่ก็ใช้พื้นที่ในการจอดมาก และใช้น้ำมันมากที่สุดด้วย ไม่เหมาะกับการขับบถนนเส้นเล็กๆ หรือทริปสั้นๆ
(https://www.jayco.com/images/pages/3689-Jayco2017_Precept31UL_34Front_OceanBlue.png)

2. Class B motorhomes หรือ Camper Van มีขนาดเล็ก มีพื้นที่สำหรับนอน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น แต่ไม่มีห้องน้ำ ขับง่าย จอดตรงที่จอดรถธรรมดาได้
(https://winnebagoind.com/binaries/content/gallery/wgohippoproject/misc/archived-models/class-b.png)

3. Class C motorhomes มีขนาดปานกลางระหว่าง Class A และ B โดยดัดแปลงจากรถกระบะหรือรถตู้ เหมาะกับการเดินทางหลายคน และราคาถูกกว่า Class A มาก มีห้องน้ำในตัว
(https://assets.interactcp.com/generalrv/images/brand-photo/thor-synergy.png.pagespeed.ce.E--QQSjSuh.png)

4. Travel trailers คือตู้นอนขนาดเล็ก-ปานกลางที่พ่วงออกมาจากรถกระบะ, SUV หรือ minivan มีทั้งขนาดเล็กจนถึง 33 ฟุต นอนได้หลายคน แต่ข้อเสียคือขับยาก เพราะส่วนท้ายสามารถแกว่งไปมาได้ตามจังหวะเลี้ยว กลับรถยาก
(https://starcraftrv.com/wp-content/uploads/2017/04/2019-Starcraft-Satellite-17RB.WEB_.png)
5. 5th Wheel Trailers คล้าย Travel trailers ขนาดใหญ่ที่พ่วงต่อกับรถกระบะ โดยมีบางส่วนของตู้นอนอยู่เหนือรถกระบะ

(https://www.jayco.com/images/pages/3903-Pinnacle18_37MDQS_FrtEXT-nostairs.png)

6. Popup trailer เป็นตู้นอนแบบเต๊นท์ ซึ่งพับเก็บได้และมีขนาดเล็ก พ่วงต่อกับรถกระบะ ข้อเสียคือมีพื้นที่ภายในเล็ก สัมผัสอากาศข้างนอกมาก(ถ้าอากาศหนาวคงอยู่ไม่ไหว) และเราว่าอันตรายที่จะนอนค้างคืนในตู้นอนแบบเต๊นท์แบบนี้
(https://assets.interactcp.com/interactrv/brand_photo/imgh_800x600-m0504201817013740/brand_photo_201805040501373983945712.jpg)

7. Truck campers คล้ายรถจี๊ปหรือระกระบะที่มีตู้นอนเล็กๆ ติดกับตัวรถข้างหลังเลย นอนได้ 2-3 คน
(https://s3.amazonaws.com/images.gearjunkie.com/uploads/2018/03/pop-up-camper.jpg)

         ส่วนใหญ่คนจะเช่ารถ Class C motorhomes ขับเพราะขนาดกำลังดี ขับไม่ยาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงห้องน้ำ แต่ก็เคยมีออแพร์เช่า Class B motorhomes หรือ Camper Van ขับ แล้วนอนพักและเข้าห้องน้ำที่ Campgroud เอา

*การเช่ารถบ้านให้ได้ราคาถูกควรติดต่อไปยังบริษัทโดยตรง 
*ตอนรับรถ ให้เจ้าหน้าที่พาดูรอบรถ ตรวจสอบรอยขีด และให้เขาสาธิตการใช้อุปกรณ์ภายในรถทุกอย่างให้ละเอียด
*อย่าลืมขอเบอร์ติดต่อเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
*สามารถจอดแวะพัก เติมน้ำ และไฟได้ที่ Campground

(https://handluggageonly.co.uk/wp-content/uploads/2017/01/Map-of-USA.jpg)




แหล่งอ้างอิง
https://blog.oxforddictionaries.com/2013/01/10/underground-railway-150th-anniversary/
http://skylightelegance.com/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%84%E0%B8%9F_Und_Amtrak/54d43c1d09a72e500c00124c
https://www.curbed.com/2018/8/16/17697922/rv-class-comparison-travel-trailer-camper-van-guide
https://learn.compactappliance.com/types-of-rvs-and-motorhomes/
https://www.insuramatch.com/blog/2015/07/what%E2%80%99s-difference-between-rv-motorhome-and-camper

บทความที่เกี่ยวข้อง
👉 แอพพลิเคชั่นที่ควรมี เมื่อไปเที่ยวอเมริกา